การรอคอยเป็นสิ่งที่ไม่มีใครชอบและไม่พึงปรารถนา เป็นช่วงเวลาแห่งความทรมานแต่ก็เป็นสิ่งที่หลายคนต้องเผชิญ ขึ้นกับระยะเวลาว่าสั้นหรือยาว มีกำหนดหรือไม่มีกำหนดและที่สำคัญเป็นภาวะของจิตใจที่ไม่ค่อยมั่นคง ระส่ำระสาย ท้อแท้ อ่อนระอา หรือบางครั้งแทบจะทอดอาลัยเอาง่ายๆ

ตัวดิฉันเองได้ผ่านสถานการณ์นั้นมาแล้ว เพราะในขณะที่ดิฉันกำลังรอคอยพระเจ้าที่จะตอบคำอธิษฐานและนำดิฉันไปอีกก้าวหนึ่งในชีวิต ในเวลานั้นแรกๆ ดิฉันก็มีความชื่นชมยินดี ตื่นเต้นในการรอที่ไม่มีกำหนด จากวันเป็นอาทิตย์ จากอาทิตย์ก็เป็นเดือน จากเดือนนี่ก็เกือบจะสองเดือนจนถึงวันที่ 26 ของเดือนที่สอง จิตใจของดิฉันเริ่มท้อแท้และรู้สึกเบื่อหน่าย มองอะไรรอบข้าง ช่างขวางหูขวางตาไปหมด พอตกกลางคืนสิ่งเดียวที่ดิฉันกระทำได้ก็คืออธิษฐาน ในการอธิษฐานครั้งนี้ดิฉันเริ่มด้วยการร้องไห้คร่ำครวญกับพระเจ้าเป็นเชิงน้อยใจและตัดพ้อว่า

“ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงทอดพระเนตรและทรงทราบแล้วว่าข้าพระองค์รู้สึกทรมานแค่ไหน ข้าพระองค์รู้สึกว่าการเชื่อฟัง ความรัก ความจริงใจ ความสัตย์ซื่อ ตลอดทั้งการที่ตั้งใจจริงของข้าพระองค์ที่มีต่อพระองค์นั้นเปล่าประโยชน์หรือ และทุกสิ่งที่ข้าพระองค์ยอมทำเพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์นั้นเปล่าประโยชน์ใช่หรือไม่? ข้าพระองค์ยอมแม้จะถูกด่าว่า ตำหนิติเตียน ถูกเข้าใจผิดสารพัด ยอมทำในสิ่งที่แม้ขัดต่อธรรมชาติของตนเอง หรือสิ่งที่มนุษย์เห็นว่าน่าอาย สิ่งเหล่านี้ก็เปล่าประโยชน์ทั้งสิ้นใช่ไหมพระองค์เจ้าข้า พระองค์คงไม่สนพระทัยและคงข้ามข้าพระองค์ไปแล้ว ข้าพระองค์อดไม่ได้ที่จะหันไปดูหลายคนที่ข้าพระองค์รู้จัก เขาไม่เห็นเอาจริงเอาจังกับพระองค์เท่าไรนัก หรือแม้แต่จะเชื่อฟังพระองค์ทั้งสิ้น ไม่ว่าเขาจะต้องการอะไร แม้เพียงความพยายามและความสามารถของเขาก็ทำได้โดยไม่ต้องพึ่งพระองค์ทั้งหมด แล้วข้าพระองค์เล่า สิ่งที่ข้าพระองค์ตั้งใจจะทำก็ไม่ใช่เพื่อตัวเอง และก็มั่นใจว่าเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ ข้าพระองค์จึงเชื่อฟัง ยอม และไว้วางใจในพระองค์ผู้เดียว ยอม แม้ตอนนี้ข้าพเจ้าเหลือแต่ตัว และตัวคนเดียว แล้วข้าพระองค์ได้อะไรเล่าจากสิ่งที่ทำไป และสิ่งที่ข้าพระองค์ได้เดี๋ยวนี้นะหรือ คือ ถูกทอดทิ้งให้อยู่เดียวดาย ปราศจากที่พึ่ง รอไปเรื่อยๆ โดยปราศจากจุดหมายปลายทาง มองไม่เห็นความหวังใจใดๆ ทั้งสิ้น สุดที่จะเดาได้ว่าอนาคตของตนเองอีกก้าวจะเป็นอย่างไร มืดมนเหมือนสุนัขที่จนตรอก ได้แต่หมอบคำรามและร้องหาพระองค์เท่านั้น บางครั้งข้าพระองค์รู้สึกว่าตนเองถูกหลอก และคนที่หลอกข้าพระองค์ ถ้าไม่ใช่พระองค์แล้วก็คงเป็นข้าพระองค์เองที่หลอกตนเอง ช่างเป็นการหลอกลวงระยะยาวเกือบถึง 2 ปี และแนบเนียน วิธีการหลอกก็ใช้สถานการณ์ในพระวจนะและถ้อยคำในพระวจนะของพระองค์ทั้งสิ้น ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าพระองค์ก็คงเป็นคนที่น่าสมเพชที่สุดในโลกคนหนึ่ง และถ้าจะเรียกตัวเองให้เหมาะก็คือซื่อจนเซ่อ พระองค์เจ้าข้า แม้กษัตริย์ดาวิดเคยอยู่ในสภาวะสงสัย เขาก็ยังมีคำตอบ สดด. 73 ฮาบากุกเองในสภาพที่กลัวจนหมดกำลัง เขาก็ยังพบคำตอบ ฮบก 3:16-19 เยเรมีย์เองเขาเคยมีความรู้สึกที่ถูกหลอกแต่เขายังได้เห็นสิ่งที่พระองค์ตรัสกับเขาเกือบทั้งหมดในชั่วชีวิตของเขา ยรม 20:7-18 พระองค์เจ้าข้า และข้าพระองค์ก็ไม่ต่างไปจากบรรพบุรุษฝ่ายวิญญาณของข้าพระองค์เลยในการเผชิญสถานการณ์ แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ ข้าพระองค์ยังไม่พบคำตอบ มีสิ่งเดียวที่จะกระทำต่อไปคือรอคอยต่อไปอย่างไม่มีกำหนดใช่ไหมพระองค์เจ้าข้า………….”

และดิฉันก็ล้มตัวลงนอนอย่างหมดแรงโดยไม่ได้ลงท้ายในคำอธิษฐาน พอตื่นเช้าของวันที่ 27 ดิฉันไม่สดชื่นเลย จิตใจวุ่นวายทั้งวัน พอตกกลางคืนดิฉันก็อธิษฐานตามปกติ ดิฉันอธิษฐานสั้นๆ เสร็จแล้วก็จะอ่านพระวจนะก่อนแล้วจะอธิษฐานต่อ ครั้นเมื่อลืมตาก็เหลือบไปเห็นพระคัมภีร์ซึ่งเปิดอยู่แล้วในหน้านั้น คือ พระธรรมอิสยาห์ 40:27-31 เป็นข้อความดังกับว่าพระเจ้านำมาตอบในคำอธิษฐานในคืนที่ผ่านมา ความว่า……..

” โอ ยาโคบเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงว่า โอ อิสราเอล ทำไมจึงพูดว่า ทางของข้าพเจ้าปิดบังไว้จากพระเจ้าและความยุติธรรมอันควรตกแก่ข้าพเจ้านั้นก็ผ่านพระเจ้าของข้าพเจ้าไปเสีย ท่านไม่เคยรู้หรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์ คือพระผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์มิได้ทรงอ่อนเปลี้ย หรือเหน็ดเหนื่อย ความเข้าพระทัยของพระองค์ก็เหลือที่จะหยั่งรู้ได้ พระองค์ประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ย และแก่ผู้ที่ไม่มีกำลัง พระองค์ทรงเพิ่มแรง แม้คนหนุ่มๆ จะอ่อนเปลี้ยและเหน็ดเหนื่อย และชายฉกรรจ์จะล้มลงทีเดียว แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรีย์ เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย….”

เมื่ออ่านพระวจนะตอนนี้เสร็จ ดิฉันเริ่มสังเกตการเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของดิฉันเองอย่างชัดเจน จากที่สับสนวุ่นวายก็เกิดสันติสุขและยินดีอย่างประหลาดด้วยถ้อยคำอันอานุภาพของพระวจนะตอนนี้ ทำให้ดิฉันมีกำลังและความคาดหวังในใจ ที่จะรอคอยต่อไป ดิฉันตั้งใจจะอธิษฐานต่อ แต่ความยินดีในใจมันมากจนไม่ทราบจะอธิษฐานอย่างไร จึงเปิดพระวจนะที่จะอ่านต่อ ( ไม่ใช่เป็นการเปิดค้นหา แต่เป็นการเปิดทันที) ก็พบพระธรรมสดุดี 40 ซึ่งเมื่ออ่านแล้วเป็นถ้อยคำที่แทนคำอธิษฐานของดิฉันได้ดีมาก โดยเฉพาะข้อเหล่านี้ที่ตรงกับใจของดิฉันในเวลาเช่นนี้ ข้อ 1,2,8,11,13,16,17 ความว่า

1. ข้าพเจ้าได้เพียรรอคอยพระเจ้า พระองค์ทรงเอนพระองค์ลงฟังคำร้องทูลของข้าพเจ้า

2. พระองค์ทรงฉุดข้าพเจ้าขึ้นมาจากหลุมอันน่าสลด ออกมาจากเลนตม แล้ววางเท้าของข้าพเจ้าลงบนศิลา กระทำให้ย่างเท้าของข้าพเจ้ามั่นคง

8. ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ปิติยินดีที่กระทำตามน้ำพระทัยพระองค์ พระธรรมของพระองค์อยู่ในจิตใจของข้าพระองค์

11. ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์อย่าทรงยึดเหนี่ยวพระกรุณาคุณของพระองค์จากข้าพระองค์ สงวนข้าพระองค์ไว้เป็นนิตย์

13. ข้าแต่พระเจ้าขอทรงพอพระทัยที่จะช่วยกู้ข้าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเร่งมาสงเคราะห์ข้าพระองค์เถิด

16. ขอให้บรรดาผู้แสวงหาพระองค์เปรมปรีดิ์และยินดีในพระองค์ ขอให้บรรดาผู้ที่รักความรอดของพระองค์กล่าวเสมอว่า พระเจ้ายิ่งใหญ่นัก

17. ฝ่ายข้าพระองค์ยากจนและขัดสน แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเอาพระทัยใส่ข้าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ของข้าพระองค์ ขออย่าทรงรอช้า พระองค์ทรงเป็น ผู้อุปถัมภ์และเป็นผู้ช่วยกู้ของข้าพระองค์

ดิฉันจึงได้รับกำลังใจจากพระเจ้า พร้อมทั้งคำตอบในการรอคอยว่า ให้มีท่าทีในการรอคอยพระเจ้าด้วยใจคาดหวัง เปรียบเหมือนคนยามที่คอยเวลาช้า รอคอยเวลาของพระเจ้า เพราะพระองค์ไม่เคยมาสาย ทุกอย่างอยู่ในเวลาของพระองค์

เขียนโดย อ.จำปา ร้องคำ