ท่องเที่ยว “ ดินแดนแห่งความฝัน” กับเบธเอลทัวร์
อียิปต์, อิสราเอล, จอร์แดน ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์พระคัมภีร์
๑ – ๑๐ ธันวาคม ๒๐๐๗
โดย จำปา ร้องคำ
คำนำ
ตั้งแต่เด็กมา เมื่อรู้จักกับพระเจ้า ได้เรียนรู้จักพระองค์ผ่านทางพระคัมภีร์ จากที่เรียนรวีวารศึกษาในชั้น และจากการอ่านเอง ก็จะเริ่มคุ้นกับสถานที่ต่างๆ ในประเทศอิสราเอล โดยเฉพาะในพระคัมภีร์ใหม่ ในที่ต่างๆ ที่ที่พระเยซูทรงเสด็จไปทำพันธกิจ ตลอดทั้งสถานที่ที่พระองค์ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ยิ่งเมื่อโตขึ้นได้ถวายตัวรับใช้ไปเรียนพระคัมภีร์ ได้ลงรายละเอียดมากยิ่งขึ้นในพระคัมภีร์ ทำให้ชื่นชอบสถานที่เหล่านี้ที่พระคัมภีร์กล่าวถึง ตลอดทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชอบศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของประเทศอิสราเอล ในวันเกิดปีหนึ่งเพื่อนสนิทซื้อภาพชุดเกี่ยวกับสถานที่ที่กล่าวในพระคัมภีร์ในอิสารเอลปัจจุบันในเวลานั้นให้ ดีใจมาก และจะเอามาเปิดดูภาพ ดูแล้วดูอีก แต่ก็ไม่กล้าคิดเลยเถิดมากไปกว่านั้นคือจะได้ไปทองเที่ยว เพราะมันไกลเกินฝัน สำหรับผู้รับใช้ในต่างจังหวัดคนหนึ่ง ที่มีเงินเลี้ยงดูพันต้นๆ ในเวลานั้นแต่ละเดือน ไม่สามารถจะเหลือสะสมได้ให้เพียงพอกับงบประมาณค่าใช้จ่ายที่จะไป จึงได้แต่เก็บสะสมรูปภาพเอาไว้ดูเท่านั้น
สดุดี ๓๗.๔ “ จงปีติยินดีในพระเจ้า และพระองค์จะประทานตามใจปรารถนาของท่าน ” พระเจ้าทรงรู้ในจิตใจที่ใฝ่ฝันอยากจะไปเยือน “ ดินแดนแห่งพันธสัญญา ” หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ โฮลี่แลนด์ ” และแล้ว ๑๖ – ๒๒ พฤศจิกายน ๒๐๐๔ ก็มาถึง ดิฉันมีโอกาสได้ไปทัวร์อิสราเอลกับเบธเอลทัวร์ ถึงเจ็ดวันโดยพระคุณของพระเจ้าผ่านทางพี่น้อง ตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่นดิฉันได้สูดเอาความอิ่มเอมใจจากบรรยากาศ สถานที่ ผู้คน จนแทบไม่มีเวลาบันทึกข้องมูลและภาพ และยอมรับว่าประทับใจจริงๆ ทำให้กลับมาแล้วเวลาอ่านพระคัมภีร์เข้าใจและซาบซึ้งมากยิ่งขึ้น
ภายหลังจากนั้นไม่นานดิฉันก็มีโอกาสเสนอความคิดกับ คุณนวลละออ เจ้าของบริษัทเบธเอลทัวร์ ว่า ทำไมไม่จัดไปหลายประเทศพร้อมกันที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์พระคัมภีร์ เช่นจอร์แดนและอียิปต์ เพราะดิฉันเองอยากไปปีนภูเขาซีนาย และแล้วเจ้าของบริษัทก็น่ารักมาก จัดให้ แต่ดูค่าใช้จ่ายแล้ว ดิฉันก็ได้แต่บอกว่า รอไว้ก่อน แต่ก็นั่นแหละ ใน โรม.๙.๑๖“ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งจึงไม่ขึ้นแก่ความตั้งใจหรือการตะเกียกตะกาย แต่ขึ้นอยู่กับพระกรุณาของพระเจ้า” โดยพระกรุณาคุณของพระเจ้าอีกครั้ง ที่ผ่านมาทางคนของพระเจ้า ในวันที่ ๑ – ๑๐ ธันวาคม ๒๐๐๗ ดิฉันจึงได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวสามประเทศกับเบธเอลทัวร์อีกครั้ง และจึงขอบันทึกการท่องเที่ยวครั้งนี้เพื่อแบ่งปันพระพรมาสู่ทุกท่าน ว่าได้รับพระพร ได้เห็นและสัมผัส สิ่งได้เรียนรู้มา ตลอดทั้งความเพลิดเพลิน การพักผ่อน อาหารดี ที่พักก็สบายมาก สำหรับดิฉัน หากท่านใดต้องการเดินทางไปต่างประเทศสักครั้งในชีวิต ขอให้อิราเอลเป็นสถานที่แรกที่ท่านควรคิดถึงและอยากไปสัมผัส
การเขียนหนังสือนี้ขึ้นมาไม่ได้มุ่งเพื่อให้ความรู้กับผู้อ่านเพียงอย่างเดียว ฉะนั้นรายละเอียดในด้านความรู้จึงมีไม่มากเท่าที่ควร แต่มุ่งเน้นให้สัมผัสถึงอรรถรสของการไปท่องเที่ยวกับเบธเอลทัวร์ เพื่อหนุนใจผู้อ่านที่อยากจะไปสัมผัสถึงบรรยากาศด้วยตัวเอง จึงมีภาษิตที่ได้กล่าวไว้ว่า “ สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็น ก็ไม่เท่ากับมือคลำ ”
สักครั้งในชีวิตถ้าท่านอยากเดินทางไปต่างประเทศ ขอให้คิดถึงประเทศแห่งประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์ ได้รับพระพร ความรู้ รวมถึงการพักผ่อนด้วย ครบทุกรส
วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๐๐๗
- สมาชิกทัวร์ทุกคนต้องถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลา ๐๕.๐๐น. เพราะจะบินเวลา ๐๗.๐๐ น.โดยสายการบินของประเทศ กาต้า ใช้เวลาบินประมาณ ๘ ชั่วโมง ถึงเมือง โดฮา ประเทศ กาต้า เวลา ๑๑.๓๐ น. ( เป็นเวลาในไทยประมาณ ๑๕.๓๐ น. ) เวลาของเขาช้ากว่าประเทศไทย ๔ ชั่วโมง ก็เป็นเวลา ๑๑.๓๐ น. ของเขา และก็ลงเพื่อต่อเครื่องบินไปเมือง ไคโร ประเทศอียิปต์ ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงตอบคำอธิษฐานของดิฉัน คือขอที่จะไม่ต้องรอเครื่องนาน แต่ให้ตรงเวลา เพราะกลุ่มทัวร์ที่มาก่อนเราต้องรอถึง ๓ ชั่วโมง แต่พวกเราไม่ต้องรอเลย คือลงจากลำที่ โดฮา ก็ต่อไป ไคโร ทันที ใช้เวลาบินเกือบ ๔ ชั่วโมง ก็ถึง ไคโร ๑๕.๓๐ น. ( เวลาไทย ๒๐.๐๐ น. )
- ลงจากเครื่องก็ต่อรถบัสเพื่อไปที่ พิภิทภัณฑ์ ของ ฟาโรห์ ในรัชกาลของ ทามุท เขานำของที่ค้นพบในสุสานมาไว้ที่นี่ เป็นสิ่งของที่ทำด้วยทองคำ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องของใช้ เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ รวมถึงโรงศพด้วย แต่ของ ราเมเสส ที่ ๒ พบแต่หลุมฝังศพ ข้าวของถูกขโมยไปหมดแล้ว เราต้องรีบเดินดูอย่างรวดเร็วเพื่อรีบออกเพราะเป็นเวลที่ใกล้จะปิดแล้วเมื่อเราไปถึง เขาปิดเวลา ๑๘.๓๐ น. ถ้ารถไม่ติดและการจราจรในเมืองไคโรไม่แย่พวกเราคงถึงเร็วขึ้น อีกอย่างเขาห้ามไม่ให้บันทึกภาพด้วย ก็อดที่จะเก็บรูปไว้ดูภายหลัง เสร็จแล้วก็กลับเข้าที่พัก คือโรงแรมในเมือง ไคโร นั่นเอง ทานอาหารเย็น รวมกลุ่มกันเพื่อชี้แจงถึงตารางในวันรุ่งขึ้น อธิษฐานด้วยกันแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๐๐๗
- หลังทานอาหารเช้าเสร็จ ต้องไปเก็บสัมภาระขึ้นรถ เพราะคืนต่อไปจะไปพักที่ใกล้ภูเขา ซีนาย สรุปแล้วพักที่ ไคโร คืนเดียว
- แห่งแรกที่เราจะไปกันวันนี้ก็คือ ปีรามิด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่พักเท่าไร ไกด์ที่อียิปต์เป็นผู้หญิงรูปร่างอวบระยะแรก เธอบอกเราว่ามีปีรามิดในอียิปต์ประมาณ ๑๐๓ ปีรามิด ( ปีรามิดเป็น ๑ ใน เจ็ดสิ่งอัศจรรย์ของโลกแต่เวลานี้ไม่ใช่แล้วมีสิ่งอื่นมาแทน ) แต่ที่ที่เราจะไปนี้ยังสมบูรณ์อยู่ แต่ละปีรามิด จะปลูกกินเนื้อที่ถึง ๓๕ ไร่ สูง ๑๔๐ เมตร จะหันหน้าไปสี่ ทวีป ที่ใหญที่สุด ความสูงจะหายไปปรมาณ ๑๐ เมตร อาจเป็นเพราะถูก ลม ฟ้า อากาศ กัดกร่อน และก็เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา อันที่จริงไม่มีการทรุดตัวเลย วิศวกรในสมัยโบราณยอดเยี่ยมมาก ใช้เวลาในการสร้างประมาณ ๒๗ ปี ใช้แรงงานเป็นแสนคนและวัวที่ลากก้อนหินประมาณ ๒ หมื่นตัว ตามหลักฐานแจ้งว่าเขาไม่ได้ใช้แรงงานทาส แต่จ้างแรงงานในการสร้าง เริ่มสร้างตั้งแต่ ฟาโรห์ ราเมเสสมา ก็มีการสร้างมาเรื่อย ๆ เขาจะสร้าง ปีรามิดใหญ่กว่าวัง เพราะเขามีความเชื่อในเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย แต่ละ ปีรามิดใช้หินกว่า ๒ ล้านก้อน หินแต่ละก้อนหนักประมาณ ๕ ตัน มีห้องข้างในที่สามารถเก็บของไม่ให้เน่าเสียได้นาน ปีรามิดมีอายุประมาณ ๒๐๐๐ – ๓๐๐๐ ปี กคศ. ปีรามิดที่เราไปดู ในห้องข้างในก็ว่างเปล่า ข้าวของข้างในถูกขโมยไปหมดแล้ว
สิ่งที่สังเกต
คนอียิปต์ไม่ค่อยสุภาพ น่ากลัว โดยเฉพาะคนที่ขายของในสถานที่ท่องเที่ยว พวกนี้จะพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย เขาจะพยายามยัดเยียดของให้ซื้อจนได้ และก็ขี้โกงราคาสุด ๆ ดิฉันโดนไปห้าร้อยกว่าบาท ( คิดเป็นเงินไทย ) อีกคนก็ทำท่ามีน้ำใจเข้ามาเสนอตัวถ่ายรูปให้คือใช้กล้องของเราเอง พอถ่ายเสร็จเขาขอหนึ่งเหรียญยูเอส แถมพูดดูดีบอกว่าเป็นสินน้ำใจไม่ใช่ค่าจ้าง ดิฉันตกใจมากรีบเดินหนีกลับไปที่กลุ่ม อันที่จริงไม่เชื่อฟังผู้นำทัวร์เอง เขาเตือนแล้วว่าอย่าออกจากกลุ่ม คือมีเหตุผล แว๊บไปถ่ายรูปแล้วเพลินจนได้เรื่อง แม้มีประสบการณ์แล้วในตอนเช้า ก็ยังไม่วายที่จะโดนอีกตอนบ่าย ขณะที่เดินตามทางเยี่ยมชมสถานที่ โยเซฟและมารีย์พาพระกุมารเยซูมาลี้ภัย ครั้งเมื่อกษัตริย์เฮโรดแสวงหาที่จะประหารพระองค์ ก็มีเด็กชายที่เดินขายของเข้ามาขอแหวนดิฉันหน้าตาเฉยเลย ดิฉันบอกให้ไม่ได้ ( เป็นแหวนทองฝังเพชร และเป็นของที่มีค่าชิ้นเดียวที่มีอยู่ ) พอไม่ได้แหวนเขาก็ขอแลกเงินไทยบ้าง บอกว่าจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่างั้น เขายื่นให้ ๕ ปอนด์ ( ๑ปอนต์ = ๗ บาท ) แต่บอกว่าจะเอาแบงค์ร้อยไทย ดิฉันก็บอกว่าไม่ได้ ก็ตามตื้ออยู่นั่นแหละ จึงยื่นให้เขาไปยี่สิบบาท แล้วรีบเดินหนีไปเลย เออแม้แต่เด็กก็เป็นไปด้วย
อีกอย่าง ทุกสถานที่ท่องเที่ยวจะต้องเสียค่าบริการห้องน้ำ ไม่เว้นแม้ในสนามบิน เขาบอกว่า ค่าทำความสะอาด แถมยังแพงด้วย ที่สนามบินเขาจะเอาคนละ ๑ $ พวกเราเลยต่อรองตามนิสัยคนไทย ๓ คนต่อ ๑ $ และที่อื่นก็คนละ ๑ ยูเอส สรุปแล้วต้องประหยัดอย่าปวดบ่อยก็แล้วกัน หรืออดกลั้นไว้บ้าง เก็บไว้ไปที่โรงแรม น้ำดื่มก็แพงมาก ขวดลิตรประมาณ ๖๐ กว่าบาท ในเมืองไทยประมาณ ๑๐ บาท แต่น้ำมันของเขาถูก คือ ๔ ลิตรละ ๑ $ ( เวลาที่ดิฉันไปตอนนั้น ๑ $ = ๓๓ บาท )
- หลังจากดูปีรามิดแล้วเราก็ไปดูเขาทำกระดาษ พาไพรัส บางคนเขาก็เรียก ปาปิรัส คือมีปัญหาเรื่องการออกเสียง คงไม่มีใครถูกผิด เพราะมันไม่ใช่ภาษาของเรา ต้นนี้เป็นต้นกกชนิดหนึ่ง ที่โตในน้ำ จะขึ้นเฉพาะในประเทศอียิปต์เท่านั้น ในต้นเป็นเหมือนอ้อย ที่มีน้ำรสหวาน เมื่อเขาตัดต้นออกมาแล้วก็ตัดเป็นท่อน ๆ ยาวตามความก้วงที่ต้องการและก็ฝานออกบาง ๆ หลังจากนั้นก็รีดเอาน้ำออก และนำไปวางพาดกันนิดหน่อยเพื่อให้ต่อติดกัน ขนาดความยาวก็ตามที่ต้องการจะใช้เช่นเดียวกัน และนำของหนักไปทับไว้จนมันแห้งติดกันสนิทเป็นแผ่นเดียวกัน จึงนำมาเขียนหรือวาดภาพแทนกระดาษ เมื่อดูการสาธิตการทำกระดาษเสร็จ พวกเราจึงมีโอกาสเดินชม ภาพ และการเขียนบนกระดาษ พาไพรัส ส่วนดิฉันก็ได้แต่ชื่นชมเท่านั้น เพราะราคาแพงมาก เฉพาะที่คั่นหนังสือเล็กๆ เป็นเงินไทยก็ร้อยกว่าบาทแล้ว ก็เลยซื้อของปลอมมาเป็นที่ระลึกแทน รวมถึงเป็นของฝากด้วย แต่ก็บอกคนที่เอาไปฝากนะว่าของปลอม
- หลังจากอาหารเที่ยง เราก็จะไปเยี่ยมโบสถ์ซึ่งเป็นสถานที่โยเซฟและมารีย์พาพระกุการมาลี้ภัย ตาม มธ.๒.๑๓ “ ครั้นเขาไปแล้วก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า ได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” ที่อียิปต์ก็มีคริสตจักรเยอะเหมือนกัน แต่เป็นคริสเตียนนิกาย ออพติค คล้ายๆ คาธอลิก เป็นความเชื่อแบบดั้งเดิม ไปอ่านเอาเองนะคะว่าเขาเชื่อกันอย่างไร
เคยไปอิสราเอลมาแล้วเห็นพวกยิวสูบบุหรี่กันเยอะมาก คิดว่าแย่แล้วนะ แต่คนอียิปต์สูบมากกว่าคนยิวอีก เห็นไกด์บอกว่า พวกอียิปต์สูบบหรี่เป็นวัฒนธรรมเลย ประมาณ ๘๐ % ของประชากรที่สูบ แม้แต่ไกด์เราเป็นผู้หญิงก็สูบ
ประเทศอียิปต์แผ่นดินมีแต่ทราย และก็แห้งแล้ง ต้องอาศัยน้ำจากแม่น้ำไนซึ่งเป็นเหมือนกับเส้นเลือดใหญ่ของประเทศอียิปต์ การเพาะปลูกจะทำได้แถมริมแม่น้ำไนเท่านั้น อาชีพของประชากรก็คือการเกษตรแต่รายได้ของเขาส่วนมากก็มาจากการท่องเที่ยว ประชากรของเขาเป็นมุสลิม ประมาณ ๙๕ % คริสเตียน ประมาณ ๕ % และก็เป็นนิกายออพติคตามที่ได้กล่าวไปแล้ว
- ออกจากสถานที่ลี้ภัยของพระเยซูแล้ว พวกเราก็นั่งรถมุ่งไปซีนาย ระหว่างทางก็ผ่านคลอง สุเอส ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของอียิปต์ แต่ซีนายอยู่ทางใต้ คลองนี้ยาวประมาณ ๑๙๐ กม. รถเราลอดอุโมงค์คลองสุเอส ๑.๖ กม. และก็ผ่านที่เรียกว่า มาราห์ ที่อิสราเอลพบว่าน้ำขม อพยพ๑๕. ๒๓ “ครั้นมาถึงตำบลมาราห์ เขาก็กินน้ำที่ตำบลมาราห์นั้นไม่ได้ เพราะน้ำขม เหตุฉะนั้นจึงตั้งชื่อว่ามาราห์(แปลว่า ความขม) ” และก็มาถึงที่เรียกว่า ตำบลเอลิม อพยพ ๑๕.๒๗ “ พวกเขามาถึงตำบลเอลิม ที่มีบ่อน้ำพุสิบสองบ่อ มีต้นอินทผลัมเจ็ดสิบต้น พวกเขาจึงตั้งค่ายใกล้บ่อน้ำนั้น ” พวกเราจะแวะและลงจากรถเพื่อไปดูบ่อน้ำสิบสองบ่อ แต่ตอนนี้เหลือเพียง ๓ บ่อเท่านั้น และก็ไม่มีน้ำพุแล้ว ที่นั่นเราพบผู้หญิงชาวเบดูอิน (เป็นเผ่าเร่รอน อาศัยเต็นท์อยู่) ขายของที่ระลึกเป็นสร้อยที่ร้อยจากหิน พวกเราช่วยกันอุดหนุ่นเขา และนำขนมมาแจกกับเด็กๆ ด้วย เพราะไกด์ของเราบอกว่าผู้หญิงชาวเบดูอินทำงานหนักเพื่อเลี้ยงสามี ผู้ชายจะไม่ค่อยทำงาน ส่วนมากจะนั่งดื่มชาและกาแฟอยู่ที่บ้าน เริ่มมืดแล้วพวกเราจึงรีบขึ้นรถกันเดินทางต่อไปให้ถึงที่พักที่ซีนายเร็วๆ เพื่อพักผ่อนเตรียมตัวปีนเขากัน เดินทางกว่าจะถึงที่พักก็สามทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว พวกเราต้องรีบทานอาหารเย็น (ตอนดึก) เสร็จแล้วก็เข้าห้องพัก รีบอาบน้ำเพื่อจะเข้านอนเร็วๆ ที่ไหนได้กว่าจะทำอะไรเสร็จเตรียมตัวที่จะเข้านอนก็ห้าทุ่มกว่า พอกำลังงีบไปได้ประมาณสี่สิบห้านาที เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเพื่อปลุก เพราะนัดรวมตัวกันหกทุ่มครึ่ง เพราะตีหนึ่งจะปีนเขา กว่าจะรวมตัวกันได้ก็ตีหนึ่งสิบห้านาทีแล้ว ทุกคนขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยพร้อมที่จะเดินทางกัน ปรากฎว่าหาไกด์ (ผู้นำทาง) ไม่เจอ ผู้นำทัวร์จึงให้คนไปตามที่ห้องพักของเขาพี่แกยังไม่ตื่น ต้องรอเขาอีกประมาณสามสิบนาที กว่าจะได้ออกจากที่พักก็เกือบตีสองแน่ะ
อันที่จริงส่วนตัวดิฉันเองเกือบจะไม่ขึ้นเขาซีนายแล้ว เพราะระหว่างเดินทางไปที่พักซีนายนั้น ผู้นำทัวร์ก็เล่าถึงกลุ่มที่มาก่อนกลุ่มพวกเรา (๑๗ – ๒๗ พน. ๐๗) มีคนหนึ่งที่ปีนขึ้นเขาซีนายยังไปไม่ถึงยอด เขาเกือบตาย อาจจะเพราะเหนื่อยและขาดอากาศหายใจด้วย ผู้นำทัวร์ก็บอกว่าตกใจเหมือนกัน และกว่าจะนำเขาลงมาได้อย่างปลอดภัยก็ลำบากมาก ทางไกด์ไทยก็ได้แนะนำเตือนพวกเราว่า ถ้าไม่จำเป็นและไม่มั่นใจก็อย่าขึ้นเลย เพราะที่นี่ไม่ใช่สุดยอดของการท่องเที่ยวในครั้งนี้ ไม่ไหวก็อย่าฝืนตัวเอง พักผ่อนรอที่โรงแรมก็ได้ ทานอาหารเช้าเสร็จเขาจะพาไปเที่ยวแถบรอบภูเขาซีนายก็แล้วกัน เอาล่ะสิ เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดิฉันเองก็เริ่มลังเลที่จะไม่ขึ้นแล้ว แม้ได้เตรียมร่างกายมาอย่างดีแล้วก็ตาม และการมาทัวร์ครั้งนี้ จุดมุ่งหมายหลักก็คือ เขาซีนาย แต่ก็ขอบคุณพระเจ้าที่มีพี่น้องผู้หญิงในกลุ่มสองคน (คุณอารีย์, คุณอมรรัตน์) ก็ได้หนุนใจดิฉันว่า “ ขึ้นเถอะ ใหนๆ ก็มาแล้ว เราค่อยๆ ขึ้นไป ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น ก็ลงมาก็ได้ ” พอเขาโหวตเสียงกันว่า ใครที่ตัดสินใจไม่ไปให้ยกมือขึ้น ดิฉันจึงตัดสินใจไม่ยก และอีกอย่างก่อนที่ดิฉันจะมาครั้งนี้ได้อธิษฐานกับพระเจ้าไว้สองข้อ คือ ๑. ไม่มีการรอต่อเครื่องจากเมือง โดฮา ไปอียิปต์ และพระเจ้าก็ทรงตอบแล้ว ข้อ ๒. ขอให้ปีนเขาซีนายได้สำเร็จ ในเมื่อได้อธิษฐานแล้ว ทำไมไม่ทำตามที่ขอล่ะ ตกลงลุย
วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๐๐๗ ตี ๑.๔๕ น. พวกเราออกจากโรงแรม ถึงเชิงเขาซีนายก็ ตี ๒ เพราะไม่ไกลจากที่พัก อากาศ
ที่นั่นประมาณ ๔ องศาเซลเซียส
- เมื่อถึงเชิงเขาซีนาย พวกเราก็ลงจากรถ และเดินเท้าเพื่อไปขี่อูฐประมาณ ๑ กม. ทางมีแต่ฝุ่นคุ้งไปหมด ผู้คนก็เยอะ เดินไปถึงที่รับบัตรขี่อูฐ เราจะต้องใช้เวลาขี่อูฐขึ้นเขาประมาณ ๒ ชม. ดังนั้นพวกเราจึงหาห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย พอเดินเข้าไปใกล้ห้องน้ำประมาณ ๑๐ เมตรเท่านั้น ก็ได้กลิ่นอย่างแรงเลย พวกเราจึงหาที่มืดๆ แถวห้องน้ำทำธุระแทน เสร็จธุระกันแล้วจึงออกมารอเจ้าของอูฐที่จะมารับไปขี่อูฐ ไม่นานเจ้าของอูฐก็มาถึง ไม่พูดพร่ำทำเพลง พอรู้ว่าเป็นเบอร์อูฐเขาเท่านั้น ก็คว้าข้อมือดิฉันแล้วก็ลากวิ่งตามมาตรฐานความเร็วของเขา ดิฉันวิ่งช้ากว่า ก้าวขาไม่ทันก็หลายครั้งที่เกือบจะล้ม เหนื่อยหอบจนอ้าปาก ทั้งๆ ที่อากาศเย็น พอมาถึงอูฐของเขาที่หมอบอยู่ เขาก็สั่งให้ดิฉันขึ้นไปขี่ ดิฉันก็เชื่อฟังโดยดีรีบยกขาขวาขึ้น แต่ก็ไม่พ้นขาไปค้างบนหลังอูฐ เขาก็รีบจับขาดิฉันหวี่ยงขึ้นไปหลังอูฐเพื่อช่วย ดิฉันร้องจนเสียงหลงเพราะความเจ็บ เห็นเขารีบขนาดนี้คิดว่าจะได้เดินทางทันที ที่ไหนได้ดิฉันต้องนั่งบนหลังอูฐรอตามลำพังในสภาพที่อูฐหมอบอยู่นั้น รอประมาณ ๓๐ นาที เจ้าอูฐก็แสนดีเจ้าของไม่สั่งมันก็ไม่ลุกไปไหนเลย อูฐที่ดิฉันนั่งนั้นตัวเล็ก มันจึงไม่สูงเท่าไร ในที่สุดเจ้าของก็โผล่มา ดิฉันจึงต่อว่า ( ตามภาษาอังกฤษเท่าที่รู้จะเอื้ออำนวย ) ทำไมปล่อยให้ดิฉันรอนานขนาดนี้ มันเมื่อยที่ต้องนั่งรอบนหลังอูฐ ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจภาษาอังกฤษดิฉันขนาดไหน เขาก็ได้แต่พูดว่า โอเค โอเค ( เพราะพวกที่นำอูฐมาบริการนี้ และแม้แต่พวกที่ขายของที่ระลึกตามทางเดินส่วนมาก ก็เป็นชาวเบดูอิน เชื้อสายอาหรับเป็นชนเผ่าที่เรร่อน อาศัยอยู่ตามเต็นท์ และก็เคลื่อนย้ายอยู่เรื่อยๆ ไม่ค่อยจะปักหลักอยู่กับที่นาน ) เหตุที่เขาช้าก็เพราะว่าเขารับผิดชอบอูฐสองตัว โดยดิฉันนั่งตัวที่เดินนำหน้า อีกตัวอยู่ข้างหลัง ตัวที่ดิฉันนั่งพอมันเดินไปไกล พอไม่ได้ยินเสียงเจ้าของมันก็หยุดเดินเอาดื้อๆ เพื่อรอเจ้าของ พอเจ้าของเดินมาใกล้เห็นมันหยุดรอ ก็ดุตะเพิดเสียงดัง มันตกใจจึงวิ่ง ดิฉันแทบจะตกจากหลังของมัน เป็นอย่างนี้ตลอดทางเดิน ๒ ชั่วโมง ระหว่างการเดินทางเนื่องจากเป็นทางเท้ามันจึงแคบมาก บางช่วงประมาณ ๑ เมตรกว่าเท่านั้น ทั้งอูฐ ทั้งคน เดินกันขวักไขว่เต็มถนนไปหมด บางทีอูฐตัวหลังก็เดินแซงเบียดขึ้นมา ถ้าดิฉันไม่ยกขาขึ้นมันคงจะหนีบขาดิฉันติดกับซี่โครงอูฐที่ดิฉันนั่งนั้น บางครั้งดิฉันก็ต้องตะโกนบอกคนเดินข้างๆ ว่า ระวัง ระวัง (เป็นภาษาอังกฤษ) เกรงว่าอูฐจะเหยียบเท้าพวกเขาเอา กว่าจะถึงที่พักระหว่างทางเพื่อจะเดินทางเท้าต่อก็ทุลักทุเลเหลือเกิน เหน็บแทบจะกินขาเอา ( ผู้นำทัวร์แนะนำก่อนขึ้นเขาว่า ระหว่างที่นั่งอูฐขึ้นเขานั้น อย่าลืมชมดวงดาวบนท้องฟ้าสวยมาก ) เนื่องจากการเดินทางเป็นเช่นนี้ ดิฉันจึงไม่มีโอกาสที่จะแหงนหน้าดูท้องฟ้าเลย เราพักดื่มน้ำกันแป๊บเดียวก็เดินทางด้วยเท้าต่ออีกประมาณ ๑ ชั่งโมง พวกเราต้องเตรียมไฟฉายไปด้วยเพราะมันมืดมาก ระหว่างการเดินก็ ทั้งลาก ทั้งฉุก ทั้งดึง ทั้งผลัก กันขึ้นไป งานนี้ห้ามเดินคนเดียวกว่าจะถึงยอดเขาซีนาย ก็เกือบตี ๕ แล้ว ยังมืดอยู่ จึงนั่งรอกันเพื่อลุ้นดูดวงอาทิตย์ขึ้น เกือบ ๖ โมงดวงอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นมา สวยงามมาก สมกับที่เหนื่อยและรอคอย นั่งชมไป ถ่ายรูปไปจนแสงอาทิตย์เริ่มจ้า พวกเราจึงไปชมโบสถ์เล็กๆ ที่เขาสร้างไว้บนยอดเขา คาดว่าเป็นที่ที่โมเสสสนทนากับพระเจ้า ดิฉันตั้งใจไว้ว่าขากลับจะเดินลง โดยไม่นั่งอูฐ เห็นคนต่างชาติเขาดูอายุมากกว่าเราเยอะ เขายังเดินทั้งขึ้นและลง ( ค่านั่งอูฐลง ๒๕ ปอนต์ ต้องจ่ายเอง ทางทัวร์เขาจ่ายให้เฉพาะขาขึ้นเท่านั้น ) และอีกอย่างก็มีคนเดินเยอะ สนุกดี ทักทายคนโน้น คนนี้ไป ขอถ่ายรูปด้วยกันบาง พักระหว่างทางนั่งคุยกันบ้าง พอเดินไปได้ระยะหนึ่ง ประมาณหนึ่งในสามของระยะทางทั้งหมด เอทำไมพรรคพวกจึงทิ้งระยะห่างเราไปทุกทีๆ ขาก็เริ่มปวดเมื่อยขึ้นมา นี่ขนาดเตรียมตัวมาก่อนนะ เดินไปอีก เริ่มไม่ค่อยจะตรงแล้ว ยกขาแทบไม่ขึ้น เตะก้อนหินแทบทุกก้อนตามทาง มองไปข้างหน้า หันไปข้างหลัง ไม่เห็นผู้คนแล้ว เริ่มกลัวที่จะเดินคนเดียว และอีกอย่างก็กลัวพวกเบดูอิน ที่พบข้างทางเป็นระยะๆ ที่ขายของและจูงอูฐไว้บริการส่วนมากจะเป็นผู้ชาย ในที่สุดจึงเรียกบริการอูฐที่อยู่ข้างทางนั่นเอง เขาเรียก ๑๕ $ ดิฉันต่อเหลือ ๑๐ $ เพราะมันเหลือ ๑ ใน ๓ ของระยะทางเท่านั้น ซึ่งเขาก็ยอม ปรากฎว่าอูฐตัวนี้ใหญ่กว่าอูฐตัวขาขึ้นเยอะมาก มันจึงสูงกว่า ตอนขาขึ้นไม่รู้สึกกลัวความสูงเพราะมันมืด แต่ตอนนี้เป็นกลางวันเพิ่งจะรู้ว่าทางมันชันมาก และดินถนนก็เป็นลูกรัง ตัวอูฐเองบางช่วงมันยังไม่กล้าก้าวเท้าเลย จนเจ้าของต้องดึงเชือกและทำเสียงเชียร์ให้มันเดิน ดิฉันเองต้องหลับตาหลายครั้งไม่เพียงแต่ทางมันชันเท่านั้น ข้างทางก็เป็นเหวลึก คิดในใจว่า “ ถ้าเราตกจากหลังอูฐลงไปคงไม่รอดแน่ แม้แต่ศพก็ไม่ต้องฝังมันคงแห้งกรอบไปเลย ”เนื่องจากอากาศแห้งและร้อนมาก นี่คืออากาศที่นี่ กลางคืนก็หนาวมาก ตกกลางวันก็ร้อนมาก คิดอยู่ในใจเหมือนกันว่า ท่านโมเสสขึ้นมาอยู่ได้อย่างไรตั้ง ๔๐ วัน ๔๐ คืน ถึงสองครั้ง บนยอดเขาด้วย เชื่อว่าเป็นความช่วยเหลือของพระเจ้าอย่างแน่นอน เมื่อลงมาถึงเชิงเขาแล้วจึงรู้ว่าบรรยากาศรอบเขาเป็นอย่างไร เพราะเมื่อคืนมองไม่เห็นอะไรเลย ไม่แปลกใจที่ชนชาติอิสราเอลเดินทางมีปัญหาเรื่องน้ำตลอด มันแห้งแล้งมากทั้งบนเขาและบริเวณรอบเขา ไม่มีต้นไม้ให้เป็นร่มเงาสักต้น แม้แต่หญ้าก็ไม่มีสักเส้นเดียวให้ความชุ่มชื่น มีแต่ทราย หินสีส้มเต็มไปหมด ร้อนแห้งกระหายแต่น้ำ
- เมื่อรวมกลุ่มกันเสร็จ ไกด์ก็พาพวกเราไปดูสถานที่ที่พระเจ้าทรงเรียกโมเสส เช่น ต้นไม้ที่ไฟลุกแต่ไม่ไหม้ มันเป็นไม้คล้ายไม้เรื้อยและเป็นพุ่ม มีคนบอกว่าเขาพยายามจะนำไปปลูกที่อื่น ปรากฎว่ามันไม่ขึ้น ถ่ายรูปกันเสร็จก็เดินไปที่ไม่ห่างกันมากก็คือ บ่อน้ำที่โมเสสช่วยลูกสาวเยโธรตักน้ำเลี้ยงสัตว์ของเขา หลังจากนั้นพวกเราต้องรีบกลับที่พัก พอไปถึงก็ ๑๑.๐๐น. ต้องรีบไปทานอาหารเช้า กำลังทานไปได้นิดหน่อย พนักงานก็มาไล่แล้ว เขาบอกว่าหมดเวลาแล้ว และกำลังจะเตรียมอาหารเที่ยงให้กลุ่มอื่นต่อ พวกเราขอเวลาดื่มกาแฟนิดหน่อยซึ่งเขาก็ยอม อันที่จริงพวกเราก็ต้องรีบเหมือนกัน เพื่อเข้าที่พักเก็บสัมภาระเพื่อเดินทางต่อเข้าแผ่นดินพันธสัญญา ขณะที่รถบัสนำพวกเราเคลื่อนออกจากที่พัก ดิฉันยกมือ บ๊าย บ่าย สำหรับที่พัก ได้นอนแค่ ๔๕ นาที และอาหารที่ทานไม่เต็มอิ่มสองมื้อ แทนที่จะเป็นสามมื้อ สำหรับชุดที่ใส่ปีนเขาซีนายนั้นดิฉันไม่นำกลับเลย ได้แก่เสื้อกันหนาว, กางเกง, รองเท้า ยกให้คนงานไทย ( หญิง) ที่อิสราเอล พร้อมกับกำชับผู้นำทัวร์ ( เพราะเขาจะอยู่ต่อช่วยงานอาจารย์ที่นั่น ยังไม่กลับพร้อมพวกเรา ) ช่วยบอกคนงานไทยด้วยว่า “ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ซัก เอาไปซักเองก็แล้วกัน ”
- พวกเรานั่งรถมุ่งตรงไปยังอิสราเอล ผ่าน อ่าว อาคาบา ทะเลแดง ประมาณ ๑๕.๓๐ น. ก็ถึงเขตแดนอิสราเลอ ผ่านการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย กว่าจะได้ทานอาหารเที่ยงก็บ่าย ๔ โมงแล้ว เป็นอาหารไทย สำหรับอาหารเย็นก็คงจะประมาณสองทุ่มแน่นอน ผู้นำทัวร์บองเราว่าวันนี้คงจะไม่นอนดึกเพราะเหนื่อยกันมาทั้งวัน โดยเฉพาะพวกที่ปีนเขาซีนาย เดินทางมาถึงเมือง ไอลัต ซึ่งเป็นเมืองท่า ๑ ใน ๒ ของอิสราเอล อีกเมืองคือ เมืองจัฟฟา ( ที่ดิฉันเคยไปมาคราวที่แล้ว เป็นทัวร์ที่ไปเฉพาะอิสราเอล ) ซึ่งส่งออกไปยุโรปและอัพฟริกา พวกเราพักโรงแรมชื่อ Vista ที่อยู่ใกล้ท่าเรือนั่นเอง
สี่งที่สังเกต
ที่อียิปต์บ้านเมืองไม่มีระเบียบ ไม่ค่อยสะอาด คนก็ไม่ค่อยสุภาพ ( สังเกตเฉพาะสถานที่ไป ) ไม่
มีมารยาท ขี้โกง การจราจรก็แย่ติดขัดไปหมด ขับรถไม่มีระเบียบกัน โดยเฉพาะที่ กรุงไคโร หลายที่ไม่มีไฟ
แดง ตรงกันข้ามกับอิสราเอล บ้านเมืองสะอาด มีระเบียบ คนก็มีวินัย มีมารยาท การจราจรก็ดี รถไม่ค่อย
เยอะ อาจจะเป็นเพราะประชากรไม่หนาแน่นก็เป็นได้
แผ่นดินที่อียิปต์มีแต่ภูเขาหินและทราย ไม่ค่อยเจอต้นไม้เลย ยกเว้นในเมืองใหญ่ก็มีบ้าง
อิสราเอลก็มีทรายและภูเขาลูกเล็กๆ ที่มีหิน แต่เขาก็มีต้นไม้เขียวชะอุ่มในที่ที่เขาต้องการให้มี โดยเฉพาะ
ทางภาคเหนือจะอุดมสมบูรณ์มาก สำหรับทำการเกษตร
วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๐๐๗ ตีห้าต้องรีบตื่น และอาหารเช้า ๗.๐๐ น. หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ยังมีเวลา พวกเรา
บางส่วนจึงออกไปเดินเล่น ชมวิวที่ท่าเรือเมือง ไอลัต ( พอเริ่มเดินดิฉันจึงรู้ว่า ปวดขามาก ระบมไปหมด
เนื่องจากปีนเขาในคืนก่อน และโดยเฉพาะการนั่อูฐเป็นเวลานาน ที่ไม่เคยชิน ) เห็นเพื่อร่วมทัวร์บางคนเดิน
ปกติไม่มีอาการปวด ถามเขาว่า “ ไม่ปวดขาเหรอ ” เขาบอกว่า “ ไม่ปวด ” เพราะเขาได้ทานยาคลาย
กล้ามเนื้อ จากหมอซึ่งเขาเตรียมไว้ที่ไปทัวร์ครั้งนี้กับพวกเรา ดิฉันจึงรีบขอจากเขาเพื่อทาน อากาศที่นี่
สดใส และวิวก็สวย เก็บภาพกันเรียบร้อยก็รีบขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อ
- รถนำพวกเราแล่นผ่านถิ่นทุรกันดารเนเกบ ต่อไปก็เป็นสถานที่ตั้งเมือง โสโดม โกมาราห์ เขาจอดรถเพื่อพวกเราลงไปเก็บหินเกลือมาเป็นที่ระลึกหนึ่งก้อน ลองเอาลิ้นแตะดูเค็มจริงๆ และถ่ายรูปเสาหินเกลือที่เหมือนรูปคนยืนอยู่ตรงยอดเขา สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นภรรยาของโลท และอีกฝั่งหนึ่งเป็นทะเลตาย ไกด์บอกว่าน้ำในทะเลตายจะแห้งไปปีละประมาณ ๑ เมตรจากฝั่ง พวกเราขึ้นรถแล่นต่อไป ผ่านถ้ำ เอนเกดี ซึ่งเป็นสถานที่ดาวิดไว้ชีวิตกษัตริย์ซาอูล แต่ได้ตัดชายฉลองของพระองค์ไป ซึ่งกล่าวไว้ใน ๑ ซมอ.๒๔ รถจอดให้ลงไปบันทึกภาพที่หน้าปากถ้ำไว้เป็นที่ระลึกตามเคยมาได้มาเยือนจริงๆ ในระแวกนี้มีต้นกระถินเทศต้นใหญ่ มีเลียงผา นอนและเดินเล่นตามเขาไม่กลัวคนเลย อาจจะเป็นเพราะที่เขาอนุรักษ์สัตว์ป่า ใครฆ่ามีโทษถึงกับถูกเนาเทศเลย มีสวนอีนทผาลัมอยู่ใกล้ๆ ด้วย
- รถแล่นต่อไปจนถึงถ้ำ คุมราน ที่พบพระคัมภีร์ฉบับทะเลตาย คือพวกเอสเซนได้หนีทหารโรมันมาอาศัยอยู่ที่นี่ และได้คัดลอกพระคัมภีร์ขึ้นมา แล้วใส่เข้าไปในไหแล้วซุกซ่อนตามถ้ำนี้เป็นจุด ๆ ภายหลังเด็กเลี้ยงแกะได้ไปพบ
- หลังจากเดินชมตามสถานที่ต่างๆ แถวถ้ำคุมรานแล้วพวกเราก็เคลื่อนขบวนต่อไปเมืองเยรีโคกัน ได้ผ่านต้นไม้ชนิดเดียวกันที่ศักเคียดปีน แต่คาดว่าน่าจะเป็นต้นเดียวกัน เพราะมันใหญ่มากและคงมีอายุยืนด้วย จากนั้นก็ที่ที่เขาขุดพบกำแพงที่เก่าที่สุด คาดว่าเก่ากว่ากำแพงที่โยชูวากับชนชาติอิสราเอลเดินรอบและตะโกนและก็ล้มลง ใน พระธรรม โยชูวา ๖ ห่างไปไม่ไกลมากก็มีบ่อน้ำพุที่เอลีชาทำการอัศจรรย์ คือน้ำบ่อนี้ผู้หญิงดื่มแล้วจะแท้งลูกกัน เอลีชาจึงนำแป้งเทลงไป หลังจากนั้นผู้หญิงที่ดื่มก็ไม่มีการแท้งลูกอีกเลย ๒พกษ.๒.๑๙ – ๒๒ เริ่มมืดแล้วพวกเราจึงกลับไปที่พัก เป็นโรงแรมตั้งอยู่ใกล้ทะเลกาลิลี
วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๐๐๗ วันนี้ ๘.๐๐ น. พวกเราต้องออกจากโรงแรมเพื่อลงเรือร่องทะเลกาลิลี ถึงแม้ว่าเป็นครั้งที่
สอง ดิฉันก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเหมือนเดิม มีพี่น้องคนงานไทยที่ทำงานอยู่ที่นั่น ไปกับพวกเรา ๗ คน ดิฉันมี
โอกาสคุยกับคนหนึ่งที่เป็นคริสเตียนแล้ว ชื่อ คุณภาณุ บ้านอยู่นครราชสีมา แต่ไปรับเชื่อที่ภูเก็ต ซึ่งเป็น
คริสตจักรที่ดิฉันรู้จักศิษยาภิบาล เขาแบ่งปันชีวิตที่มาเชื่อและพระพรการช่วยเหลือของพระเจ้าที่มีต่อเขาใน
การทำงานและความเป็นอยู่ที่อิสราเอล
- พวกเรานั่งเรือร่องกันไปตามทะเลกาลิลี ทำให้คิดถึงพระเยซูและสาวกของพระองค์ที่เคยทำเช่นนี้ พวกเรานมัสการ ร้องเพลง เต้นรำกัน และเนื่องจากวันนี้เป็นวันเฉลิมพระชนม์พรรษา พวกเราจึงชักธงไทยขึ้นเสาและร้องเพลงชาติกัน เรือร่องไปผ่านเมือง ทิเบเรียสอยู่ริมฝั่งทะเลซึ่งเป็นที่ตั้งของวัง เฮโรด อันทิพาส แต่ส่วน ฟิลิปน้องชาย ( ที่เฮโรดแย่งภรรายา ) ของเขาอยู่ที่ ซีซารียา เข่จอดเรืออยู่หน้าเมือง ทิเบเรียสเพื่อจะมีโอกาสอธิษฐานกัน แล้วก็ร่องเรือ ถัดไปก็เป็นเมือง มักดารา เป็นเมืองที่มารีย์มักดาราอาศัยอยู่ และต่อมาก็เป็นเมืองคารเปอรนาอุม ซึ่งเมืองที่พระเยซูทรงใช้เป็นศูนย์กลางในการทำพันธกิจในแคว้นกาลิลี พวกเราขึ้นฝั่งที่เยนเนซาเร็ธเพื่อไปเยี่ยมชม คิบบุส ( คือชุมชนที่รวมตัวกันทำงานการเกษตร รวมกันกิน รวมกันใช้ แบบไม่มีการเห็นแก่ตัว ) ทำให้คิดถึงชุมชนของพระเจ้าใน กิจการ ๒.๔๔ – ๔๕ “ บรรดาผู้ที่เชื่อถือนั้นก็อยู่พร้อมกัน ณ ที่แห่งเดียว และทรัพย์สิ่งของของเขาเหล่านั้นเขาเอามารวมกันเป็นของกลาง 45เขาจึงได้ขายที่ดินและทรัพย์สิ่งของ มาแบ่งให้แก่คนทั้งปวงตามซึ่งทุกคนต้องการ ”
- ภายหลังเดินดูสถานที่ความเป็นอยู่ที่คิบบุสแล้ว และได้ทำธุรกิจส่วนตันกันเสร็จ พวกเราก็ขึ้นรถเดินทางไปที่ที่พระเยซูทรงเทศนาบนภูเขา และยังเป็นสถานที่ทรงเลี้ยงคนห้าพันด้วย ระหว่างทางที่รถวิ่งผ่าน จะมีสวนเกษตร เช่น กล้วยหอม มะกอกเทศ ต้องบอกว่าผลไม้ที่อิราเอลทุกอย่างอร่อยมาก รสชาดดี สถานที่ที่พระเยซูทรงเทศนานั้น พวกคาธอลิคจะสร้างอาคารโบสถ์อย่างสง่าค่อมไว้ วิวแต่ละมุมของทะเลกาลิลีสวยมากเพราะติดทะเลกาลิลี และเป็นเนินขึ้นไป มีความอุดมสมบูรณ์มาก เป็นสถานที่ที่พระเยซูทรงเสด็จขึ้นฝั่งไปเทศนา พระองค์จะเสด็จจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง มีแต่ลงเรือและก็ขึ้นบก และในบริเวณที่ที่ทรงเลี้ยงคนห้าพันก็มีหินโม่น้ำมันมะกอกใหญ่มาก เส้นผ่าศูนย์กลางน่าจะปรารณสองเมตร คิดถึงคำสอนของพระเยซูที่ว่า ใครเป็นเหตุทำให้ผู้เล็กน้อยสะดุด ถ้าเอาหินโม่ถ่วงคอโยนลงทะเลลึกก็ดีกว่า มธ.๑๘.๖ “แต่ผู้ใดจะทำผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่วางใจในเราให้หลงผิด ถ้าเอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงเสียที่ทะเลลึกก็ดีกว่า ” ไม่น่าใช่อันนี้แน่ คงจะเป็นหินโม่ข้าวที่ยกคนเดียวไหว
- พวกเราเดินต่อไปเลียบฝั่งทะเลกาลิลีอีกไม่ไกลเท่าไร ก็เข้าไปในโบสถ์อีกแห่งหนึ่ง ในอาคารมีหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่ซึ่งเป็นสถานที่เชื่อว่าพระเยซูทรงพบกับสาวกภายหลังจากที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย คือเป็นที่ที่พระเยซูทรงตรัสกับเปโตรถึงสามครั้ง ว่า “ เจ้ารักเราหรือ ” พอทุกคนกำลังเข้าไป ผู้บรรยายไทย ( อ.ทัศนพงศ์ ) ก็นำเราร้องเพลง “ เมื่อพระเจ้าตรัสเรียกด้วยเสียงแผ่ว ” จบแล้วก็ต่อด้วยเพลง “องค์พระเยซูคริสต์ที่รักของข้า ” ขณะที่ดิฉันร้องเพลงที่สองได้ครึ่งเดียวก็มีเสียงชัดเจนมากของพระเจ้าตรัสกับดิฉันว่า “ เราได้เสียสละชีวิตของเราเพื่อฝูงแกะเราแล้ว เจ้าก็ควรเสียสละชีวิตเพื่อฝูงแกะของเจ้าเช่นกัน”
สิ้นพระสุรเสียงของพระองค์เท่านั้น บ่อน้ำตาของดิฉันก็ระเบิดเลย ใจดิฉันเป็นทุกข์แทบแตกสลาย ดิฉันร้องไห้มากสะอึกสะอื้นจนตัวสั่นเทา และก็อธิษฐานกับพระเจ้าว่า “ด้วยกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทำไม่ได้หรอก ขอพระองค์มาเสริมกำลังให้ข้าพระองค์กระทำได้ก็แล้วกัน ” ร้องไปอธิษฐานไป ผู้นำทัวร์ (คุณนวล) เห็นดิฉันร้องไห้ก็มาอธิษฐานเผื่อ และเราก็เดินไปหาภรรยาผู้บรรยายไทย (อ.จอย) ให้อธิษฐานเผื่อ และผู้บรรยายไทยก็มาร่วมอธิษฐานเผื่ออีก ( เป็นเหมือนพระเจ้ามาให้รู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่คริสตจักร ภายหลังจากนี้ไม่นานก็มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคริสตจักรซึ่งทำให้ดิฉันต้องเจ็บปวดมากๆ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี เพราะการช่วยเหลือของพระเจ้า )
- พวกเราเดินทางเท้าต่อไปอีกก็เป็นที่ที่พระเยซูทรงพักผ่อนกับสาวกภายหลังที่ปรนนิบัติมวลชนเป็นอันมาก
และห่างออกไปก็มีก้อนหินใหญ่ตั้งอยู่ เชื่อว่าเป็นที่ที่พระเยซูทรงตรัสสั่งสาวกครั้งสุดท้ายก่อนเสด็จไปสวรรค์ให้เขาออกไปประกาศ ที่นี่ก็ห่างจากบ้านของเปโตรและธรรมศาลาไม่ไกล ภายหลังบ้านของเปโตรก็กลายเป็นคริสตจักร สถานที่รอบๆ ก็มีวัตถุโบราณมากมายที่ค้นพบ ก่อนหน้านี้คงมีฝนตก เพราะแผ่นดินชุ่มชื่นและมีหญ้าขึ้นมาแน่นเป็นเหมือนพรมเลย ผู้นำทัวร์บอกเราว่า อีกไม่นานจะมีดอกหญ้าขึ้นมาเยอะสวยงามมาก คิดถึงคำเทศนาบนภูเขาของพระเยซูที่ว่าอย่ากระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่ม ให้ดูดอกหญ้า ภายหลังจากเดินชมทุกที่เสร็จ พวกเราก็ไปทานอาหาร เมนูมื้อนี้คือปลาเปโตร รูปร่างหน้าตาและรสชาดก็คล้ายปลานินบ้านเรานี่แหละ เขาเสริฟคนละตัว ส่วนมากก็ทานไม่หมดกัน เนื่องจากปลาตัวใหญ่แถมยังมีอาหารอย่างอื่นด้วย
- อิ่มกันแล้วก็ขึ้นรถเพื่อเดินทางกันต่อ จุดมุ่งหมายคือเยรูซาเล็ม ระหว่างทางที่รถวิ่ง ก็ชมต้นไม้ ต้นหญ้าเขียวชะอุ่มไปหมด ไม่เหมือนคราวก่อนที่มา ฝนเพิ่งลงมองไปทางไหนก็แห้งแล้งไปหมด แผ่นดินอียิปต์เท่าที่ไปมา มีแต่หินปนทราย แห้งแล้ง ภูเขาก็ล้นๆ ถึงแม้มีที่ราบมากกว่าอิสราเอลก็ตาม อิสราเอลก็มีดินปนก็มากเหมือนกัน บางที่มีดินมากเขาก็จะทำหารเพาะปลูกเยอะ อียิปต์จะปลูกบ้านบนที่ราบ แต่อิสราเอลจะปลูกบ้านเมืองบนเขา และใช้ที่ราบทำการเกษตร อียิปต์มีแต่ภูเขาหินใช้การอะไรไม่ได้ แต่อิสราเอลใช้ได้ทุกพื้นที่
ในที่สุดเราก็มาถึงบ้านคานา ที่พระเยซูทรงกระทำการอัศจรรย์ครั้งแรกคือเปลี่ยนน้ำเป็นน้ำองุ่น มาคราวที่แล้วไม่ได้เข้าเนื่องจากมันมืดแล้ว ประกอบกับฝนตกเขาจึงปิดเร็ว ขอบคุณพระเจ้าครั้งนี้ไม่พลาด ก็ไม่มีอะไรมาก มีอาคารโบสถ์ และไหหินโบราณตั้งโชว์เป็นที่ระลึก เดินออกมาตามทางก็มีร้านค้าขายของที่ระลึก มีเหล้าองุ่นด้วย ทั้งช๊อป ทั้งชิมกันไป ออกจากร้านไปอีกไม่ไกล ก็เข้าเขตนาซาเร็ธ เป็นอาคารโบสถ์ที่สร้างขึ้นบนที่บ้านของมารีย์ที่ทูตสวรรค์ปรากฎ และก็ถัดไปเป็นบ้านของโยเซฟ ที่ซึ่งพระกุมารเจริญวัยขึ้นที่นั่น
ชมสถานที่เสร็จก็ไปช๊อปกันต่อเกือบชั่วโมง จึงเดินทางกลับโรงแรม ใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมง ถึงโรมแรมก็ ๒ ทุ่ม
( ประมาณตี ๑ เมืองไทย )
สิ่งที่อยากขอบคุณพระเจ้า
สำหรับสุขภาพร่างกายที่ไม่เป็นอะไร ครั้งที่แล้วไปเฉพาะอิสราเอล ๕ วัน กลับถึงเมืองไทย ดิฉันรู้สึก
คอแห้งตลอดและไออยู่ ๔๐ กว่าวัน สาเหตุเพราะแพ้ควันบุหรี่ แต่ครั้งนี้เดินทางค่อนข้างสมบุกสมบัน นอนก็
ไม่ค่อยพอ เนื่องจากดิฉันเป็นคนที่นอนไม่พอแล้ว ร่างกายจะอ่อนแอ และรวมไปถึงจะทานไม่ค่อยลง และ
อีกอย่างก็ปวดเมื่อยไปตามตัวเนื่องจาการปีนเขา เอาแค่สองวันแรกเท่านั้นดิฉันก็จะน๊อกแล้ว เช่น
– วันที่ ๑ ธค. เป็นวันเดินทาง นอนแค่ ๒ ชั่งโมง ถึงไคโร ๑๕.๓๐ น. ไปชมพิพิธภัณฑืสุสานฟาโรห์ เสร็จกลับถึงที่พัก คืนนี้ไปนอน ๗ ชั่วโมง
– วันที่ ๒ ธค. ตื่น ตี ๕ ทานอาหารเสร็จออกเดินทางเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ และเดินทางไปถึงที่พักใกล้เขาซีนาย ประมาณ ๕ ทุ่ม นอนไป ๔๕ นาที ตื่น ดื่มกาแฟหนึ่งถ้วยตอน ตี ๑ หลังจากนั้นใช้เวลาไปกับภูเขาซีนายจนถึง ๑๑.๐๐น ไม่ได้ทานหรือดื่มแม้แต่น้ำซักหยด พอถึงที่พักกลับทานไม่ลง ก็ดื่มกาแฟ ๑ ถ้วยเดียว ก็เดินทางต่อ ตลอดการเดิทางเที่ยวในอียิปต์ สูดเอาควันบุหรี่ตลอด เพราะคนอียิปต์สูบบุหรี่จัดกว่าคนอิสราเอลเสียอีก แต่ก็ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ได้แพ้เหมือนกับคราวที่แล้ว ไม่เป็นไข้ ไม่ปวดศรีษะ ไม่อ่อนเพลีย พระเจ้าทรงเสริมกำลังจริงๆ
วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๐๐๗ – เช้าวันนี้อากาศหนาว เขาบอกว่า ๑๒ องศาเซลเซียส ดิฉันคาดว่าน่าจะต่ำกว่า ๑๐ องศา
แน่เลย เพราะเย็นเป็นพิเศษ แต่ที่ซีนายกลับไม่รู้สึกอะไรกับ ๔ องศา คงมัวแต่ตื่นเต้นกับการเดินทางด้วยอูฐ
และทางเท้ากระมัง วันนี้ดีใจที่ทราบว่าจะได้เข้าไปที่ โดมออฟเดอะร๊อค มาคราวที่แล้วเขาปิดเพราะตรงกับ
วันอาทิตย์
- หากจะชมเยรูซาเล็มในภาพมุมกว้าง ต้องขึ้นที่ภูเขามะกอกเทศทางทิศใต้ของเยรูซาเล็ม จะสามารถเห็นทั้งเมืองเก่าและเมืองใหม่ ขณะนั่งรถระหว่างทางก็ชมวิวเมืองเยรูซาเล็มไป พอถึงจุดที่หมายพวกเราก็ลงจากรถเพื่อเดินทางเท้า เดินไปตามทางที่ “ พระเยซูทรงลาเสด็จเข้าเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต ” เดินไปถึงสวนเกธเสมานี เข้าไปในอาคารโบสถ์ที่นิกายคาธอลิคไปสร้างค่อมไว้ มีก้อนหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่ในอาคาร คาดว่าเป็นก้อนหิน ที่พระเยซูทรงซบพระพักตร์อธิษฐาน พวกเราใช้เวลาอธฺษฐานกันสักครู่ ก็เดินไปถึงที่ฝังพระศพตามความเชื่อของกลุ่มคาธอลิค เดินต่อไปอีกก็ถึงห้องชั้น ที่พระเยซูทรงเสวยพระกายะหารกับสาวกมือสุดท้าย จากนั้นก็ไปเยี่ยมอุโมงค์ฝังพระศพของกษัตริย์ดาวิด จากนั้นก็ไปบ้านของคายาฟาสมหาปุโรหิต ที่เขาจับพระเยซูไปขังไว้ในกลางคืน และที่เปโตรปฏิเสธพระเยซูถึงสามครั้ง ตรงนี้เขาก็สร้างอาคารโบสถ์ค่อมไว้เช่นกัน ที่ยอดหลังคาเขาสร้างตัวไก่ไว้และจะมีเสียงไก่ขันสามครั้งเป็นระยะๆ บ่ายโมงกว่าแล้วพวกเราต้องไปทานอาหารเที่ยงกัน ซึ่งเป็นอาหารจีน คริสเตียนชาวฮ่องกงมาเปิดที่นี่
- ทานอาหารกลางวันเสร็จ พวกเราไปกันที่สวนฝังพระศพ ( ตามความเชื่อของคณะโปรเตสแต้น ) ในสวนนี่กว้างพอสมควร เชื่อว่าเป็นของเศรษฐีคนหนึ่ง และในสวนมีบ่อที่เขาขุดเก็บน้ำได้ถึง ๒ แสนแกลอนภายหลังมีนายทหารมาซื้อสวนนี้ไว้ แต่ปัจจุบันเป็นของมูลนิธิหนึ่ง อีด้านหนึ่งของสวนมีหน้าผาที่เหมือนรูปกระโหลกศรีษะคนมาก ณ ที่นั่นพวกเรามีโอกาสทำพิธีมหาสนิทด้วยกัน พอตกเย็นลงอากาศยิ่งหนาว พวกเราจึงกลับโรงแรมกัน มีเวลางีบ ๑ ชั่วโมง จึงตื่นขึ้นมาทานอาหารเย็น พอถึงเวลา ๑๙.๒๕ น.พวกเรามาประชุมร่วมกัน เพื่อแบ่งปันพระพร และมีโอกาสฟังคำพยาน อาจารย์ทาริยา ที่เคยเป็นมิชชันนารีในประเทศไทย ๑๓ ปี ตอนนี้รับใช้ที่อิสราเอลเพื่อช่วยเหลือคนงานไทยที่นั่น
วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๐๐๗ วันนี้พวกเราจะไปบ้านเบธเลเฮ็มกัน ( บ้านขนมปัง ) หลังจากนั้นก็จะเข้าประเทศจอร์แดน
- บ้านเบธเลเฮ็มเป็นเขตปกครองของชาวปาเลสไตน์ อันที่จริงประเทศปาเลสไตน์ก็มีคริสเตียนเยอะเหมือนกัน ขณะนักรถไปตามทางก็เห็นโบสถ์และมีไม้กางเขน เมื่อถึงพวกเราก็เข้าไปในโบสถ์ซึ่งเป็นสถานท่มารีประสูติ ต้องเดินลงไปใต้ดินเป็นทางแคบๆ ที่เขาขุดค้นพบ คนแน่นมากตามทาง ไม่ต้องเดินเลยไหลไปกับฝูงชน และก็ได้เข้าไปในสถานที่เกี่ยวกับประวัติของนักบุญ เจอร์โรม เป็นชาว ยูโกสลาเวีย ซึ่งเป็นผู้แปลพระคัมภีร์จากภาษาฮีบรูเป็นภาษาลาติน ท่านได้ทุ่มเททั้งชีวิตในการแปล โดยมีนาง พอลล่า ช่วยปรนนิบัติและหนุนใจ แต่ภายหลังนางเสียชีวิตก่อน ท่าน เจอร์โรม จึงนำกระโหลกศรีษะของนางมาเป็นที่ตั้งเทียนไข เพื่อเป็นกำลังของท่านในการแปลต่อ ท่านใช้เวลาถึง ๓๐ ปี งานแปลจึงเสร็จ หลังจากนั้นก็เข้าไปชมสถานที่ต่างๆ ที่สำคัญ เก็บภาพกันจนพอใจแล้วจึงเคลื่อนย้ายขบวนต่อ และก็ถึงเวลาอาหารกลางวันกัน
- พวกเราพร้อมกันขึ้นรถเพื่อเดินทางไปประเทศจอร์แดน ประมาณ ๑๔.๐๐ น. เมื่อไปถึงประเทศจอร์แดนก็มุ่งตรงไปยัง แม่น้ำจอร์แดน ที่ซึ่งยอห์นให้บัพติสมา และเป็นที่ที่พระเจ้าทรงรับเอลียาห์ไปสวรรค์ด้วย ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเป้นประเทศอิสราเอล ถ้าอยากรู้ว่าฝั่งไหนเป็นของใครก็ให้ดูที่ธงก็แล้วกัน ไกด์ที่จอร์แดนเป็นคริสเตียน ชื่อ จอห์น (ไม่ใช่ยอห์นแบ๊พติส) และที่นี่เขามีตำรวจมาคุ้มครอง โดยเดินทางไปไหนๆ กับพวกเราด้วย วันศุกร์เป็นวันหยุดของพวก
- อิสลาม วันเสาร์เป็นวันหยุดของพวกยิว ประเทศจอร์แดนมีเนื้อที่ ๘๙ ตารางกิโลเมตร มีประชากร ๖ ล้านคน นับถือศาสนาอิสลาม ๙๕ % เป็นคริสเตียน ๕ % ไกด์บอกว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันดีไม่มีปัญหาเหมือนประเทศอื่น พวกอาหรับจะกระจายอยู่มี ๒๕ ประเทศ อยู่แถบตะวันออกกลาง ที่ไม่ใช่อาหรับมี ๓ ประเทศ ได้แก่ ประเทศอิสราเอล, อีหร่าน, ตุรกี พวกอาหรับจะพูดภาษา อาราเม็ค อีหร่านจะพูดภาษาเปอร์เซีย ตุรกีและอิสราเอล มีภาษาของเขาเองคือไม่ได้ใช้ภาษาอาราเม็ค เสร็จจากการชมและซึมซับเอาบรรยากาศของแม่น้ำจอร์แดน และบางคนก็ตักน้ำเก็บใส่ขวดเรียบร้อยแล้ว (เอากลับเมืองไทย ไม่รู้จะผ่านด่านหรือเปล่า) ก็ออกเดินทางเพื่อไปที่พัก ซึ่งอยู่ใกล้เมือง เพตร้า คงใช้เวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง ระหว่างสองข้างทางก็จะมีชาว เบดูอิน ตั้งเตนท์ เลี้ยงสัตว์ มี แพะ, แกะ และทำการเกษตรเล้ก ๆ น้อยๆ พวกนี้ถ้าหน้าหนาวเขาก็จะลงมาที่ราบ พอถึงหน้าหนาวเขาก็จะขึ้นไปอยู่ที่สูงของภูเขา
วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๐๐๗ ตื่นเช้ามาด้วยอากาศหนาวเย็น และสดใส ทานอาหารเสร็จ เดินชมภาพสวยๆ ในโรงแรม
และก็ออกไปชมวิวที่ระเบียง สวยงามมากเพราะโรงแรมตั้งบนเขา เก็บภาพไว้แล้วต้องขึ้นรถเดินทางไปเมือง
เพตร้า ( ๑ ใน ๗ สิ่งอัศจรรย์ของโลกปัจจุบัน ) ไม่เสียเที่ยวที่ได้เดินทางมาครั้งนี้ ได้ชม ๒ สิ่งในเจ็ด
อัศจรรย์ของโลก แต่ ปิรามิดเป็นอดีตไปแล้ว คือตกรอบมีสิ่งอื่นมาแทน
- นั่งรถผ่านเมือง อัมมาน เมืองหลวงของ จอร์แดน มองเห็นภูเขาเฮอร์แต่ไกลที่อาโรนสิ้นชีวิต พอถึงพวกเราต้องลงจากรถ ต้องเดินไประยะทางประมาณ ๓ กิโลเมตร ใครจะเดินหรือนั่งรถม้าก็ได้ แต่ต้องจ่ายเอง ดิฉันเลือกที่จะเดิน
พอเดินเข้าจริงๆ มีความรู้สึกว่ามันน่าจะมากกว่า ๓ กม. ตลอดทางเดินก็จะมีวิวสวยๆ ให้ดู เช่นช่องผา หินสีส้ม และก็มีปฏิมากรรม ที่ยังหลงเหลือให้ชม ในที่สุดก็ไปถึงที่เขาเรียกกันว่า สุดยอดของความงาม เป็นสุสนานของกษัตริย์ที่เขามาสร้างไว้ เขาเจาะหน้าผา แกะสลักเป็นรูปตึกสวยงามมาก และหินแถวนี้ก็สีสวย สีส้ม สีชมพูสด เดินชมสถานที่ต่างๆ พอแล้ว ขากลับรู้สึกจะเดินไม่ไหวแล้ว จึงเรียกลามา ตกลงราคาเรียบร้อย ลาเดินไปไม่ถึงสิบเมตร เจ้าของลาเห็นนักท่องเที่ยวนั่งรถม้าเข้าเยอะ เขาก็ไล่ดิฉันลงจากลาของเขาเฉยเลย ดิฉันก็จำต้องลงแบบงงๆ และต้องเดินกลับโดยเสียมิได้ กว่าจะมาถึงที่รถจอดก็เอาแทบหมดแรง พากันขึ้นรถไปสักหน่อยก็จอดทานอาหารกลางวัน
- ทานอาหารเสร็จก็นั่งรถกลับ ผ่านสถานที่ที่โมเสสเอาไม้เท้าตีหิน และไม่ได้เข้าแผ่นดิน คานาอัน พวกเราก็เลยแวะลงไปดู ตรงหินนั้นยังมีน้ำไหลอยู่ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันแล้วก็ต้องรีบขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อไปคือ เมือง มาดาบา ซึ่งพวกเราจะพักกันที่นั่น ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๓ ชั่งโมง ไปถึงที่พัก ทานอาหารเย็นเสร็จก็มืดแล้ว เนื่องจากพวกเรายังมีวิญญาณการช๊อปปิ้งกัน จึงพากันออกเดินในเมือง ประกอบกับเมืองเขาดูสงบดีไม่น่ากลัว ประชากรก็ยิ้มแย้มแจ่มใส พากันดูของฝากตามร้านค้าต่างๆ จนเป็นที่พอใจแล้วก็กลับเข้าที่พัก นอนเอาแรงเพื่อจะลุยต่อวันรุ่งขึ้น
วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๐๐๗ ตื่นเช้าทานอาหารกันเสร็จ ยังมีเวลาก็ออกไปช๊อปกันต่ออีก
- ถึงเวลารวมตัวกัน เพื่อเดินไปดู โบสถ์เซนต์จอห์น ที่มีแผนที่ กรุงเยรูซาเล็ม ที่ทำด้วยโมเสค อยู่ตรงพื้นโบสถ์ด้านหน้า ถ้าไม่มีคนไปชมเขาก็จะเอาพรมปิดไว้ หลังจากนั้นก็ชมภาพโมเสคในบริเวณอาคาร สวยงามมาก เดินออกมาดูบริเวณภาพนอกนิดหน่อย ก็พากันเดินกลับไปที่โรงแรม เพื่อนั่งรถเดินทางไปที่ภูเขาเนโบ
- ที่ภูเขาเนโบเป็นสถานที่พระเจ้าทรงนำโมเสสขึ้นไปดู แผ่นดินแห่งพระสัญญา และโมเสสก็เสียชีวิตที่นั่น เมื่อไปยืนตรงจุดนั้นจะมองเห็นแผ่นดินอิสราเอล แต่วันที่เราไปค่อนข้างมีหมอก จึงเห็นไม่ค่อยชัด ที่นั่นเขาสร้างงูไว้ด้วย ซึ่งเป็นงูที่โมเสสสร้างให้ชนชาติอิสราเอลดู เมื่อเขาถูกงูกัด และเขามองที่งูนั้นเขาก็หายไม่ตาย พวกเราใช้เวลาที่นั่นพอสมควรแล้วจึงเดินลงจากภูเขาเพื่อนั่งรถเดินทางต่อไปที่เมือง อัมมาน เพื่อนั่งเครื่องบินไปที่เมือง โดฮา ประเทศกาต้า ออกจากอัมมานก็ประมาณ ๑๖.๐๐ น. (ประมาณ ๓ ทุ่มในไทย) บินสามชั่วโมงก็ถึง กาต้า ที่สนามบิน กาต้าพวกเราต้องรอประมาณ ๕ ชั่วโมง เพื่อต่อเครื่องบินกลับไทย ทานอาหารเย็น เดินเล่น นั่งเล่น นอนเล่น คุยกันเล่นๆ กว่าจะหมด ๕ ชั่วโมง ที่สุดการรอคอยก็มาถึงได้กลับเสียที ๗ ชั่งโมงก็ถึงสุวรรณภูมิ ขอบคุณพระเจ้า