กล่าวถึงชาวอิสราเอลกำลังเดินทางถึงจุดสุดท้าย ก่อนที่จะเข้าไปยึดครองแผ่นดินแห่งพระสัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยน้ำผึ้งและน้ำนม เป็นแผ่นดินพระพร เป็นเมืองที่มีสัตว์และพืชบริบูรณ์ทำให้ผึ้งผลิตน้ำผึ้งได้มาก ส่วนสัตว์ก็สามารถให้น้ำนมได้มากเช่นกัน และจะเป็นเมืองที่พำนักของเขาหลังรอนแรมในถิ่นธุรกันดารมานาน 40 ปี  แต่เมืองสุดท้ายที่พวกเขาต้องผ่านเป็นสถานที่สำคัญที่พวกเราควรจดจำคือ เมืองคาเดช (Kadesh)

ซึ่งเป็นเมืองที่ชาวยิวได้รับการทะลุทะลวงในชีวิตก่อนที่จะไปรับแผ่นดินพระสัญญา  และนั่นก็หมายถึงพวกเราซึ่งเป็นอิสราเอลฝ่ายวิญญาณ  ก็ต้องผ่านเมืองคาเดชของเราเองทุกคนเพื่อการทะลุทะลวง  จะได้มีความ ชื่นชมยินดีกับพระพร ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เรา  สิ่งที่เราจะต้องทำประการแรกก็คือ

1. จะต้องฝังอดีตเสีย

(20:1) “….1มิเรียมก็สิ้นชีวิตและฝังไว้ที่นั่น(คาเดช)…” 
พระเจ้ากำลังสอนอะไรกับโมเสสและรวมถึงเราด้วย  มิเรียมนั้นเป็นพี่สาว ที่ปรึกษา เป็นส่วนสำคัญที่มีอิทธิพลมากคนหนึ่งในชัยชนะและความสำเร็จของโมเสส  แต่มิเรียมต้องตายและถูกฝังที่คาเดช  หมายถึงสิ่งเก่า ๆ วิถึชีวิตเก่า ๆ เช่นการขี้บ่น ขี้โมโห หรือความสำเร็จที่เคยได้มาจะไปใช้กับแผ่นดินใหม่ที่พระเจ้าให้มานั้นไม่ได้  ต้องฝังให้ตาย ความสำเร็จในชัยชนะนั้นอาจทำให้หยิ่งยะโสจนไม่พึ่งพระเจ้า หรือบางทีมิเรียมนั้นก็หมายถึงความพ่ายแพ้ในอดีตที่เคยได้รับ ทำให้เราสูญเสียความมั่นใจและหมดกำลังใจที่จะก้าวไปแผ่นดินพระสัญญา  เพราะพลเมืองที่นั่นเป็นยักษ์อาจกลัวจนไม่กล้า  ความพ่ายแพ้นี้ก็ควรตายที่คาเดชเหมือนกัน
(ฟป.3:13-14 “…ลืมสิ่งที่ผ่านมาแล้วเสียและโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า…)
จงเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้าทุกวัน

2. จะต้องหยุดบ่นหรือต่อว่า

(20:3,10,13) ชาวอิสราเอลมีความต้องการมากมายจนบ่นต่อว่าพระเจ้า แต่สำหรับพระเจ้าเห็นการบ่นการต่อว่าของชาวอิสราเอลนั้นเป็นการกบฎต่อพระเจ้า  สิ่งนี้สอนให้เรารู้ว่าเมื่อเรามีความต้องการอะไรก็ตาม ควรปฎิบัติต่อความต้องการด้วยท่าทีที่ถูกต้อง  ไม่งั้นเราอาจบ่นหรือต่อว่าพระเจ้า นั่นก็หมายถึงเรากบฎต่อพระเจ้า
(ตย.ท่าทีของคนที่รักทรัพย์สมบัติมากในมธ.19:16-22)
และอ.เปาโลได้สอนเราในเรื่องนี้ว่าให้
หยุด บ่น” โดยหันมา “ขอบพระคุณ” และ “สรรเสริญ” แทน
หยุด บ่นในสิ่งที่ไม่มี” หันมามองดูแล้ว “ขอบพระคุณในสิ่งที่มี” แทน  (อฟ.5:20)
หยุด คิดถึง “สิ่งที่จะเลิก”หันมามองดูแล้ว “ขอบพระคุณในสิ่งที่จะทำ” แทน
และความคิดทาง “ด้านลบ” จะลดลงเมื่อคุณคิดถึงความคิด “ด้านบวก” มากยิ่งขึ้นแทน  เมื่อกระทำตามคำแนะนำเหล่านี้ก็เป็นการฝังมิเรียมในคาเดชของคุณ  ชีวิตคุณก็จะมีความสุขเตรียมรับพระพรแน่นอน

3.จะต้องเชื่อฟังพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง

(20:8,10-12)  พระธรรมตอนนี้กล่าวถึงพระเจ้าสั่งให้โมเสสบอกก้อนหินให้น้ำไหลออกมาต่อหน้าประชาชน  แต่โมเสสได้ทำผิดต่อพระเจ้าด้วยความโกรธ เอาไม้เท้าตีที่ก้อนหินถึง 2 ครั้ง เป็นการไม่เชื่อฟังอย่างรุนแรง  โมเสสไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในแผ่นดินพระสัญญา  การทำผิดเพียงครั้งเดียวจากที่ทั้งชีวิตของเขาได้ถูกฝึกมานานและรับใช้มาด้วยความเชื่อฟังมาตลอด เพราะความโกรธและความโมโหของโมเสสนั้นก็เป็นเหตุเท่ากับการ“กบฎ”เหมือนของชาวอิสราเอลที่บ่นต่อว่าพระเจ้านานถึง 40 ปี

การไม่ได้เข้าแผ่นดินพระสัญญานั้นเป็นสิ่งที่น่าเสียใจอย่างมากสำหรับโมเสสที่รับใช้พระเจ้าและดูแลชาวอิสราเอลมานานด้วยความอดทนเหน็ดเหนื่อยและยากลำบาก  เรามาดูเหตุผลที่ทำให้โมเสสขาดความเชื่อและการเชื่อฟังพระเจ้าอาจเป็นเพราะ………….

  • เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการรับใช้ โมเสสดูแลชาวยิวด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการที่พวกเขาขี้บ่นและต่อว่าตลอด 40 ปี โมเสสต้องขอการยกโทษแทนพวกเขาตลอดมา เขาเหนื่อย เจ็บปวด ผิดหวัง ท้อใจจากการดูแลติดตามและรับใช้พระเจ้า ทำให้เขาระเบิดอารมณ์โกรธออกมา และสิ่งนี้ก็เป็นตย. สอนพวกเราเช่นกันไม่ว่าเราจะเหน็ดเหนื่อยจากการทำภารกิจอะไรก็ตามโดยเฉพาะจากการรับใช้เต็มที่ และมีเหตุการณ์รอบข้างเข้ามากระทบจิตใจ เช่นจากการทำงาน ครอบครัว คู่สมรส เพื่อนคริสเตียนก็ตาม  จงอย่าโทษพระเจ้าเด็ดขาด และอย่าบ่นต่อว่าอะไรเพราะอาจทำให้เราระเบิดอารมณ์ออกมา  จะทำให้เราเสียหายจากการขาดพระพร  ทำให้เราไม่สามารถเข้าไปรับแผ่นดินพระสัญญาก็ได้  (จงจดจำมธ.11:28-29 เอาไว้ให้มั่น)
  • เพราะเสียสมาธิ  จากชีวิตของโมเสส อดีตเป็นเจ้าชายฟาโรห์ พระเจ้านำเขาไปเลี้ยงแกะอยู่ 40 ปี ฝึกเขาให้มีหัวใจแห่งการเป็นผู้เลี้ยงดู แต่ตลอดมาที่ดูแลชาวยิวที่ขี้บ่น โมเสสไม่เห็นผลลัพธ์ที่ดีออกมา มองแต่อดีตที่ชาวยิวปฎิบัติจนลืมอนาคตที่อีกไม่ไกลนักเขาจะเข้าแผ่นดินพระสัญญาแล้ว  เขาโกรธจนลืมตัว มองไม่เห็นผลแห่งพระสัญญา และมองไม่เห็นว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยในเวลานั้นจึงทำผิดไม่เชื่อฟังพระเจ้า สิ่งนี้สอนให้เราอย่ามองแต่ปัจจุบันที่กำลังมีปัญหาอะไรแต่มองอนาคตที่พระเจ้าสัญญาไว้ดีกว่า
    จงอย่ามองมนุษย์ด้วยกันแต่จงมองที่พระเจ้า (ฮบ.12:1-2)
  • เพราะมองย้อนกลับไปในอดีต  อย่ายึดติดกับวิถีเก่า ชีวิตเก่า ความเคยชินเก่า ๆ ในอดีต (อสย.43:18-20 “จงลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วอย่าฝังใจกับอดีต ดูเถิดเรากำลังทำสิ่งใหม่!……”)

สรุป

ถ้าต้องการจะไปถึงจุดที่จะชื่นชมยินดีกับพระพรในพระเจ้าตลอดปี 2012  และตลอดไป 

  1. จะต้องฝังอดีต
  2. จะต้องหยุดบ่นและต่อว่า
  3. จะต้องเชื่อฟังพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง
    • อย่าเหน็ดเหนื่อยจากการรับใช้
    • อย่าเสียสมาธิ แต่มีใจจดจ่อและมองให้เห็นพระเจ้า
    • อย่ามองย้อนกลับไปในอดีต

ขอพระเจ้าทรงอวยพระพร


ไอรีน  ดำรงค์โภคิน
(ผู้สรุปคำเทศนา)