สภษ. 22:6 “จงอบรมเด็กในทางที่เขาควรจะไป  และเมื่อเขาโตขึ้น  เขาจะไม่หันเหไปจากทางนั้น”  (อมตธรรม)

ส่วนมากคนที่กำลังจะเป็นพ่อแม่ให้ความสำคัญกับเด็กในเรื่องสุขภาพร่างกาย อาหารการกิน เป็นเรื่องหลัก  แต่ไม่ค่อยจะเตรียมอะไรสำหรับฝ่ายจิตใจ จิตวิญญาณของลูก ในความเป็นจริงแล้วขณะที่เด็กอยู่ในครรภ์นั้นเขาสามารถรับรู้ ซึมซับสิ่งที่เราสั่งสอนหรือสิ่งที่เราป้อนถ้อยคำแห่งชีวิตเพื่อสร้างอนาคตที่ดีทั้งด้านจิตใจจิตวิญญาณได้  เพราะฉะนั้นคำพูดที่กล่าวว่า “เด็กเลี้ยงได้แต่กาย จิตใจเลี้ยงไม่ได้” นั้นไม่เป็นความจริง เขาจะดีหรือไม่ดีนั้นอยู่ที่พ่อแม่สอนหรือฝึกเขาในยามที่เขาเกิดจนถึงวัยเด็ก เรามาดูในพระคัมภีร์ที่ยกตัวอย่างเรื่องเด็กกัน

1 ซมอ. 3:1-4

กล่าวถึง นางฮันนาสัญญากับพระเจ้าว่าถ้าเขามีลูกชายคนแรก เขาจะถวายให้เป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า  แล้วลูกคนแรกของฮันนาก็เกิดคือเด็กชายซามูเอลเขาถูกมอบให้กับพระเจ้าโดยให้เอลีเป็นผู้ดูแล ตอนอายุ 12 พระเจ้าได้เรียกและคุยกับซามูเอล  เพราะขณะนั้นไม่มีใครที่สามารถคุยกับพระเจ้าได้แม้แต่เอลีเอง  พระเจ้าอยากจะเตือนและบอกเอลีถึงโทษที่เขาและลูกของเขาจะได้รับเพราะการกระทำที่ผิดต่อพระเจ้า

1 พกษ. 5:1-4

กล่าวถึงเด็กผู้หญิงชาวยิวคนหนึ่งที่ตกเป็นทาส ไปทำงานกับผู้บัญชากองทัพชาวซีเรียชื่อนาอามาน  เขาเป็นคนสนิทของพระราชา มีความสามารถในการรบและมีครบทุกด้าน แต่เขาเป็นโรคเรื้อน  เด็กหญิงชาวยิวคนนี้เธอมีความเชื่อและความกล้าหาญที่จะบอกข่าวดีแก่นาอามานถึงโรคเรื้อนที่สามารถหายได้ของเขา ถ้าเขาไปพบผู้เผยพระวจนะที่ทำการอัศจรรย์รักษาคนป่วยให้หายมากมายชื่อเอลีชา เธอไม่มีความกลัวแต่กลับมีความปรารถนาดี พูดกับนายหญิงว่า “เธออยากให้นายท่านหายจากโรคเรื้อน” เพราะถ้านาอามานเชื่อและไปรักษาแต่ไม่หายเธออาจถูกลงโทษถึงตายได้  สุดท้ายนาอามานก็เชื่อและเดินทางไปหาเอลีชา เขาก็หายจากโรคเรื้อนและตัดสินใจเชื่อพร้อมติดตามพระเจ้า  เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ได้รับความรอด  จากการประกาศของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่เป็นทาส

2 พศด. 24:1-3

กล่าวถึงกษัตริย์ชื่อโยอาชขึ้นครองบัลลังก์อิสราเอลตอนอายุ 7 ขวบ โดยการดูแลของปุโรหิตที่ดีชื่อเยโฮยาดา เขาปกครองอิสราเอลได้เป็นอย่างดีถึง 40 ปี

ยอห์น 6:1-13

กล่าวถึงพระเยซูทรงเลี้ยงคน 5000 คนด้วยขนมปัง 5 ก้อน ปลา 2 ตัว จากเด็กเล็ก ๆคนหนึ่งที่ติดตามพระองค์ และนำอาหารติดตัวมาด้วยและนั่นก็เป็นเพียงอาหารมื้อเดียวของเขา แต่เขาก็มีความเชื่อฟังยอมมอบให้พระเยซู  สุดท้ายอาหารมื้อเดียวที่เขามีก็สามารถเลี้ยงคนได้เป็นหมื่น แถมยังมีเหลือให้เก็บอีก 12 กระบุง

จากตัวอย่างในพระคัมภีร์เหล่านี้เราจะเห็นได้ว่า  พระเจ้าทรงใช้เด็ก ๆ เหล่านี้  แล้วทำไมต้องเป็นเด็ก ๆ เหล่านี้ เขามีอะไรเป็นพิเศษ  ก็ต้องย้อนกลับไปดูที่ครอบครัวของพวกเขาซึ่งสามารถพบได้ในหนังสือ 1 พกษ. – 2พกษ. จะกล่าวถึงกษัตริย์ทั้งหลายว่า แม่ของเขาคือใคร  ไม่ได้กล่าวถึงพ่อแต่เน้นย้ำถึงแม่  ส่วนในพระคัมภีร์ใหม่พระเจ้าทรงเลือกใครก็ได้ที่เป็นหญิงพรหมจารี ลูกหลานดาวิด ซึ่งมีมากมาย แต่พระเจ้าไม่ทรงเลือก กลับเจาะจงเลือกนางมารีซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า  เธอเหมาะสมที่จะเป็นมารดาเลี้ยงดูสั่งสอนพระกุมารเยซู

จากที่กล่าวมาตอนต้นจะเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงรักเด็ก ทรงใช้เด็ก ทรงพูดกับเด็กได้ เขาสามารถเรียนรู้ และรู้จักพระเจ้าตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก ๆ ได้  ถ้าคุณเคยคิดว่าจะให้ลูกของคุณตัดสินใจเชื่อพระเจ้าด้วยตัวเขาเองในตอนโต  คุณคิดผิด เพราะถ้าเขาได้เสียชีวิตก่อนที่เขาจะเชื่อ  เขาก็ต้องลงไปอยู่ในนรกแน่นอน  ดังนั้นคุณควรสอนให้เขารู้จักพระเจ้าตั้งแต่เขารู้ความ  ให้ถือรักษาและโตไปด้วยกับพระวจนะของพระเจ้า  ในวัยเด็กจิตใจเขายังว่างเปล่าเราจึงควรใส่สิ่งดี ๆ คือพระวจนะพระเจ้าไปในใจเขาให้เต็ม  ในมัทธิว 19:13-15 พระเยซูทรงให้ความสำคัญกับเด็กเล็ก ๆ ที่แม่พวกเขาอุ้มมาหาพระองค์  เพราะต้องการให้พระเยซูอวยพรให้ลูก ๆ ของเขาไปดี รับพรจากพระเจ้า ในขณะที่สาวกพยายามห้าม

มัทธิว 18:1-4

กล่าวถึงให้เรากลับใจใหม่เหมือนเด็กเล็ก ๆ เพราะเด็กมีความจริงใจใสซื่อ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม  เมื่อเขาสำนึกผิดนั่นหมายถึงเขาเสียใจจริง  และใน 2 ทิโมธี 1:5-6  กล่าวถึงการที่เราจะปั้นและสร้างเด็กอย่างไร  เปาโลได้ระลึกถึงทิโมธีชายหนุ่มถึงความเชื่อ สัตย์ซื่อ มีคุณธรรม มีความรัก ความจริงใจ มีของประทานปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า  เหล่านี้ได้ส่งต่อจากยาย ถ่ายทอดถึงแม่ ไปสู่ทิโมธี  ซึ่งขี้ให้เห็นว่าความเชื่อ สามารถถ่ายทอดจากครอบครัวไปสู่ลูกหลานได้ตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก  ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ

1 ยอห์น 1:2-3

กล่าวถึงอัครสาวกยอห์นได้เขียนหนังสือเล่มนี้จากสิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยินจากพระเยซูคริสต์  จึงเกิดเป็นชีวิตในตัวเขาและถ่ายทอดออกมา  จากประสบการณ์จะเห็นเด็ก ๆ มากมายที่มีพฤติกรรมเหมือนผู้ใหญ่ เมื่อถามหาความจริงแล้วก็รู้ว่าเด็กเหล่านั้นมีพฤติกรรมเหมือนพ่อแม่ จากสิ่งที่เขาได้เห็น และได้ยินเป็นประจำ

แต่ในทางกลับกันมีเรื่องจริงน่าเศร้าเกิดขึ้นจากครอบครัวหนึ่งมีลูกสาวฝาแฝด คนหนึ่งดูเก่ง เข้มแข็ง อีกคนหนึ่งดูอ่อนแอ แม่ของเขาก็พูดบ่อย ๆ ว่าลูกที่เข้มแข็งจะมีชีวิตที่ดีประสบความสำเร็จ ส่วนคนที่อ่อนแอต้องแย่มีชีวิตที่ล้มเหลวแน่นอน แล้วก็เป็นอย่างที่แม่ของเขาพร่ำบ่นประจำ คนที่อ่อนแอมีชีวิตที่ล้มเหลวและฆ่าตัวตายในที่สุด  ดังนั้นเรื่องนี้จะเป็นอุทาหรณ์ที่ดีว่าเด็ก ๆ จะได้ยินสิ่งที่พ่อแม่พูดถึงเขาบ่อย ๆ และเขาจะเป็นอย่างที่พ่อแม่พูด  เพราะฉะนั้นเราควรพูดแต่สิ่งที่ดีให้ลูกได้ยินและให้เขาเชื่อว่าเขาจะเป็นไปตามสิ่งที่ดีอย่างที่พูดนั้น

สรุปว่าขอให้พระเจ้าทรงช่วยพวกเราทุกคนที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดี และเป็นแบบอย่างที่ดี พูดในสิ่งที่ดีกับเขา ใช้เวลาอยู่กับเขาให้มาก  และฝึกเขาในทางของพระเจ้าตั้งแต่เขาเกิด คือพาเขามาโบสถ์  ควบคุมเวลาในการใช้ชีวิตที่ยุ่งเกี่ยวกับสื่อต่าง ๆ เช่น เกมส์ อินเตอร์เน็ต หนังสือการ์ตูน ภาพยนต์ เพราะถ้าเราไม่เป็นตัวอย่างที่ดีในการรักพระเจ้า ติดสนิทและอธิษฐานพึ่งพาพระเจ้าเดี๋ยวนี้แล้ว  วันหนึ่งที่ท่านอยากให้เขารักพระเจ้า เขาอาจจะไม่ทำและย้อนถามกลับว่าทำไมพ่อแม่ไม่ทำบ้าง  รวมไปถึงทุก ๆ คนในคจ. ต่างก็เป็นตัวอย่างที่เด็ก ๆ ทุกคนเฝ้าจับตาดูเป็นแบบ เพราะฉะนั้นท่านควรเป็นแบบอย่างที่ดี ในการดำเนินชีวิตคริสเตียน เปรียบเหมือนเป็นพ่อแม่ฝ่ายวิญญาณของเด็ก ๆ ทุกคนในคจ. อยู่ในครอบครัวใหญ่ ในมัทธิว 18:6 กล่าวว่า “แต่ถ้าใครทำให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่วางใจในเราหลงผิดไป เอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอคนนั้นแล้วถ่วงเขาเสียที่ทะเลลึกก็จะดีกว่า”  หวังว่าจากคำเทศนานี้พวกเราทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วจะตระหนักถึงความสำคัญและกลับใจใหม่ในการดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างที่ดีกับลูกหลานของพวกเราเอง ใส่ใจเข้มงวดในการฝึกเขาในทางที่เขาจะเดินไปกับพระเจ้าตั้งแต่เดี๋ยวนี้ และรวมถึงเด็ก ๆ ทุกคนในคริสตจักร เพื่อถวายเกียรติสิริแด่พระเจ้า  เพื่อลูกหลานและเด็ก ๆ ทุกคนจะเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระเจ้านะคะ


ขอพระเจ้าทรงอวยพรทุกคน
ไอรีน  ดำรงโภคิน
( ผู้สรุปคำเทศนา )