ข้อพระคัมภีร์หลัก​     มัทธิว 1:18-25

เทศกาลคริสตมาส เป็นเทศกาลแห่งความสุข เป็นเทศกาลแห่งการให้ วันนี้อยากแบ่งปันหัวข้อที่เกี่ยวข้องวันคริสตมาส คือเรื่อง “บทเรียนจากชีวิตโยเซฟ”

เหตุที่เอาชีวิตของโยเซฟเพราะเป็นคนที่มักไม่ค่อยถูกพูดถึงเท่าไรนัก โยเซฟผู้ทำหน้าที่เป็นพ่อในฝ่ายธรรมชาติของพระเยซู มักมีการกล่าวถึงน้อยมากในพระคัมภีร์และเทศกาลคริสตมาส แต่วันนี้้เราจะเรียนรู้จากชีวิตของโยเซฟ แต่เขาเป็นส่วนหนึ่งให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ และให้เราเข้าใจความหมายของคริสตมาส และให้คริสตมาสมีความหมายอย่างแท้จริง

เราเคยเจอคำถามนี้ไหม? เราเตรียมตัวสำหรับคริสตมาสอย่างไร? ส่วนใหญการเตรียมมักจะหมายถึง การเตรียมการแสดง การเตรียมงานเลี้ยง แต่เราส่วนตัวเตรียมฉลองอย่างไรเพื่่อให้คริสตมาสมีความหมายที่แท้จริงในชีวิตของเรา? หลายครอบครัวยุ่งกับการเตรียมงานฉลอง การแสดง ของขวัญ จนละเลยความสำคัญของคนในครอบครัว สิ่งที่สำคัญมากกว่ากิจกรรมคือท่าทีของเรา

ท่าทีของโยเซฟในวันคริสตมาสแรกเขาตอบสนองอย่างไร? และเพื่อทำให้วันคริสตมาสได้เกิดขึ้นจริงในชีวิตของเราในปัจจุบัน ให้เรามาเรียนบทเรียนจากชีวิตของโยเซฟด้วยกัน คือ…

หนึ่ง  พร้อมที่จะยอมรับน้ำพระทัยของพระเจ้าเสมอ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม

มัทธิว 1:24-25 “…24ครั้นโยเซฟตื่นขึ้นก็กระทำตามคำซึ่งทูตของพระเจ้าสั่งนั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา 25แต่มิได้สมสู่กับเธอจนประสูติบุตรชายแล้ว และโยเซฟเรียกนามของบุตรนั้นว่า เยซู…”

โยเซฟสอนให้เราทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า สำหรับการทรงนำ และแผนการของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่

ขณะมารีย์ตั้งครรภ์อายุประมาณ 15 ปี โยเซฟก็คงมีอายุไร่เรี่ยกันแต่อาจแก่กว่าเล็กน้อย เขาได้วางแผนแต่งงานกัน แต่แล้ววันหนึ่ง เขาต้องรู้สึกเสียใจที่พบว่านางสาวมารีย์ที่เป็นคู่หมั้นมีครรภ์ ที่แน่ๆคือนางไม่ตั้งครรภ์กับโยเซฟ์ เมื่อเขาตัดสินใจรับนางเป็นภรรยาตามที่ทูตสวรรค์มาปรากฏแก่เขานั้น  นั่นหมายความว่าเขาต้องดำเนินด้วยความเชื่อตลอดชีวิต แม้เขาจะไม่สามารถเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือแผนการของพระเจ้้า  หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต เมื่อเราเดินตามความเชื่อ เราไม่อาจรู้ทั้งหมด เราต้องเดินด้วยความเชื่อ ถ้าพระเจ้าบอกตอนจบก็ไม่ต้องใช้ความเชื่อ เมื่อเราไม่รู้ตอนจบ เราจึงจำเป็นต้องใช้ความเชื่อออกมา

ความเชื่อท่ามกลางความไม่เข้าใจ เป็นเรื่องยาก การดำเนินในความเชื่อ เป็นเรื่องยาก เพราะในความเชื่อต้องมีความเสี่ยง ถ้าความเชื่อไม่มีความเสี่ยงก็ไม่ใช่ความเชื่อ โยเซฟยอมรับเลี้ยงเด็กในท้องมารีย์ เขาเชื่อวางใจแม้ไม่เข้าใจ

คริสตมาสควรเป็นเวลาที่เต็มด้วยความชื่นชมยินดี แต่สำหรับโซเยฟเขาเต็มไปด้วยความสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา เพราะวิถีของพระเจ้าสูงกว่าความคิดของเรา และ

โรม 8:28 “…28พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์…”

คนที่รักพระเจ้าไม่ใช่ทุกสถานการณ์จะดี แต่เขาสามารถขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งนั้นได้ นั่นเป็นท่าทีของคนที่รักพระเจ้า

สอง   เราต้องเรียนรู้ที่จะสำแดงความห่วงใยเอาใจใส่คนอื่น

โยเซฟยอมดูแล เลี้ยงดูและปกป้องพระกุมารเยซูตลอดชีวิตของเขา แม้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆของเขาก็ตาม

คริสตมาสอย่าลืมยุ่งแต่กิจกรรม จนลืมเอาใจใส่คนรอบข้าง วันคริสตมาสเป็นวันที่ทำให้เราไวต่อความรู้สึกผู้อื่น

สาม  เราต้องเรียนรู้ที่จะให้ในสิ่งที่เราควรจะให้

คริสตมาสเกิดขึ้นในชีวิตของโยเซฟ เมื่อเขาตัดสินใจยอมทำตามความเชื่อฟังพระเจ้า เขาไม่รู้เลยว่าจะต้องพบอะไรบ้าง เขาไม่รู้ล่วงหน้าเลยว่าจะต้องพาพระเยซูหนีไปอียิปต์ จากบ้านจากเมืองที่เคยอยู่ และถูกตัดจากญาติเป็นเวลาหลายปีเพื่อดูพระบุตรพระเจ้า เขาต้องถวายอาชีพ เงินทองทั้งชีวิตของเขาพาพระกุมารเยซูหนีไปอียิปต์ ทั้งๆที่ไม่ใช่ลูกที่แท้ของเขา เขาเสียสละ โยเชฟมีท่าทียินดีรับพระกุมารเยซูด้วยความเต็มใจ แม้ในสายตาคนอื่นเขาจะดูเป็นคนเล็กน้อยและไม่ค่อยมีใครพูดถึง แต่เขาก็เต็มใจ และทำได้ดี

คริสตมาสเกิดขึ้นเพราะเขาให้ในสิ่งที่เขาควรให้ เทศกาลคริสตมาสคือ การให้ ของขวัญที่ยิ่งใหญ่คือ การให้ด้วยความรัก และการสำแดงออกด้วยการกระทำ

วันคริสตมาสนี้จะเกิดขึ้นทันทีที่เรายอมให้พระเยซูทำงานในหัวใจของเรา ยอมให้กับพระเจ้า ถ้าเราเต็มใจให้พระเจ้าทำงานในชีวิตของเรา ท่าทีของโยเซฟควรเป็นท่าทีของเราด้วยในวันคริสตมาสในชีวิตของเรา เราอาจเป็นโยเซฟที่เป็นตัวประกอบให้คนอื่นได้รับการชื่นชมก็ตาม แต่เราสามารถให้คำหนุนใจ ให้ใจใส่ ให้การปลอบโยนกับคนที่เขาต้องการ นี่คือการให้ที่ยิ่งใหญ่ ให้เรามีท่าทีเหมือนกับโยเซฟคือ หนึ่ง พร้อมที่จะยอมรับน้ำพระทัยของพระเจ้าเสมอ สอง เราต้องเรียนรู้ที่จะสำแดงความห่วงใยเอาใจใส่คนอื่น สาม เราต้องเรียนรู้ที่จะให้ในสิ่งที่เราควรจะให้ เพื่อให้คริสตมาสมีความหมายที่แท้จริงในชีวิตของเรา

ขอพระเจ้าทรงอวยพรท่าน อาเมน

(ศศกร กลิ่นส่ง ผู้สรุปคำเทศนา)