เราจะรู้ได้อย่างไร ? ว่าเป็นยุคสุดท้ายแล้ว ในตอนแรกพระเจ้าให้เราสังเกตจากต้นมะเดื่อ คือเรียนรู้จากธรรมชาติที่บอกถึงฤดูกาลของพระเจ้า เพื่อให้สังเกตเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นว่าตอนนี้ได้อยู่ในช่วงไหนแล้ว ซึ่งมีผู้รับใช้บางคนกล่าวว่า ปัจจุบันนี้ถึงเวลาแล้วของช่วงปลายที่สุด และตอนที่ 2 กล่าวถึงเรื่องของการทำนายเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นว่า พระคริสต์ใกล้จะเสด็จกลับมา ซึ่งมีประมาณ 99.9 % ที่ได้เกิดขึ้นสำเร็จแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่นั้น แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะทวีความรุนแรงต่อมนุษย์สร้างความเสียหายร้ายแรงขึ้นอีกเรื่อย ๆ ที่สำคัญที่สุดที่พระคำกล่าวไว้คือ จิตใจของมนุษย์จะเยือกเย็นลง จนไม่มีความรักซึ่งกันและกัน แม้แต่คนในครอบครัวญาติพี่น้องกันเอง
และด้วยเหตุนี้ขอเตือนและหนุนใจให้พวกเราดำเนินชีวิตด้วยความยำเกรงพระเจ้า อย่าดำเนินตามทางของคนอธรรม หรือทางของคนบาปมิฉะนั้นจะสายเกินไป เพราะใน
1ยน.2: 14-17“อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น …”
โลกและสิ่งของที่มีอยู่ในโลกพระเจ้าจะทรงทำลายซึ่งคนที่ติดกับโลกก็จะถูกทำลายไปด้วยเช่นกัน
ดังนั้นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อคริสเตียนที่ควรระวังคือผู้หลอกลวงหรือการหลอกลวง และผู้อยู่เบื้องหลังคือมารซาตาน ซึ่งมันรู้ถึงจุดอ่อนของคริสเตียนดี นั่นคือกิเลสตัณหาที่เราต้องการ เหมือนคนตกปลา เขาจะรู้ว่าเหยื่อชนิดไหนเหมาะกับปลาชนิดไหน ขอพระเจ้าทรงช่วยเราและเราเองก็ต้องระวังเพื่อจะไม่ถูกล่อลวงให้หลงไปเป็นเหยื่อออกจากทางของพระเจ้า ซึ่งเราจะเรียนรู้กันว่าจะทำอย่างไร ? ที่เราจะป้องกันให้พ้นการถูกล่อลวง
- ให้เราเชื่อฟังและยอมอยู่ภายใต้ผู้มีสิทธิอำนาจที่พระเจ้าแต่งตั้งไว้ ในช่วงชีวิตการรับใช้ของข้าพเจ้า 30 ปี เคยมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ข้าพเจ้าต้องถามพระเจ้าว่าทำไม? เหตุการณ์นี้ต้องเกิดขึ้นกับคนของพระเจ้า ทำไม? พระเจ้าไม่ช่วยเขา ทำไม? เขาต้องล้มลง จนพระเจ้าได้ทรงอธิบายผ่านพระธรรม
มัทธิว23:37ว่า “โอ เยรูซาเล็มๆที่ได้ฆ่าบรรดาผู้เผยพระวจนะ และเอาหินขว้างผู้ที่รับใช้มาหาเจ้าถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ”
เมื่อข้าพเจ้าใคร่ครวญดูก็จบคำถามเพราะเข้าใจเหตุผลที่ทำไมคริสเตียนถึงไม่ได้รับการปกป้องจากพระเจ้า ในสมัยนั้นชาวยิวข่มเหงและฆ่าผู้เผยพระวจนะทุก ๆ คนที่พระเจ้าส่งมาเพื่อเตือน สั่งสอน ช่วยเหลือพวกเขา จนกระทั่งถึงพระเยซูคริสต์ที่ตายบนไม้กางเขน ชาวยิวอาศัยชาวต่างชาติเป็นคนฆ่า และอ้างว่าทำเพื่อพระเจ้า ซึ่งพระคำนี้กล่าวถึงพระเยซูคริสต์ได้อธิษฐานถึงประชากรของพระองค์ในเยรูซาเล็ม ทรงอยากช่วยเหลือปกป้องพวกเขา แต่เขาไม่ยอม คริสเตียนในยุคนี้ก็เหมือนกับชาวยิวเช่นกันที่ต่อต้าน นินทาเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้รับใช้ของพระเจ้า พระเจ้าทรงตั้งคจ.ไว้เพื่ออะไร ?
อฟ.1:15,22-23 เป็นคำตอบ “พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร…”
โดยมีผู้รับใช้ของพระเจ้าเป็นตัวแทนของคจ. เมื่อต่อต้านผู้รับใช้พระเจ้าก็เหมือนต่อต้านพระเจ้า คริสเตียนเหล่านั้นจึงหลุดจากการปกป้องดูแลของพระเจ้า เพราะเขาไม่เชื่อฟัง ไม่ชอบอยู่ใต้กฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่มีอยู่ในคจ. ซึ่งมีนิสัยเหมือนกับลูซิเฟอร์ที่ไม่ชอบอยู่ใต้สิทธิอำนาจหรือใต้กฎของพระเจ้า
ในรม.13:1-2 “1ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอำนาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอำนาจใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ทรงอำนาจนั้น พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น 2เหตุฉะนั้นผู้ที่ขัดขืนอำนาจนั้น ก็ขัดขืนผู้ซึ่งพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ”
ในสมัยน้น กรุงโรมโหดร้ายต่อชาวยิว อย่างมาก แต่อ.เปาโลยังสอนให้ยอมจำนน และยังสอนทิโมธีให้อธิษฐานต่อผู้ที่มีอำนาจเจ้าบ้านผ่านเมือง พระคริสต์สอนว่าแม้แต่ศัตรูยังให้เราต้องอวยพร ดังนั้นพระเจ้าไม่สามารถอวยพรและปกป้องเราได้ ถ้าเราไม่สามารถอยู่ภายใต้กฎ และภายใต้ผู้มีสิทธิอำนาจทุก ๆ สิทธิอำนาจเหนือเรา เพราะนั่นหมายถึงเราไม่เชื่อฟังและยอมรับต่อกฎและผู้มีสิทธิอำนาจที่พระเจ้าแต่งตั้งขึ้น แม้แต่นายที่ชั่วร้ายด้วย (1ปต.2:18)
- การอธิษฐานและการอดอาหารเพื่ออธิษฐาน (มธ.4: 1-2) พระวิญญาณนำพระเยซูคริสต์เข้าถิ่นทุรกันดารเพื่ออธิษฐานและอดอาหาร พระองค์ก็ทรงเอาชนะการทดลองของมารซาตานได้ พระเยซูคริสต์เตือนให้อธิษฐาน ในมธ.26:41เพื่อไม่ให้เข้าสู่การล่อลวง หรือเอาชนะการทดลองได้ และ
อฟ.6:18 “..อธิษฐานโดยพระวิญญาณทุกเวลา”
- ให้ถ้อยคำของพระเจ้าซึ่งเป็นความจริงอาศัยอยู่ในใจของเรา
(ยน.15:7) “ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใด ซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น”
ให้เรามีพระวจนะพระเจ้าลงไปในใจและออกมาเป็นการกระทำตาม ไม่ใช่มีเพื่อเข้าข้างตนเอง จนในที่สุดเอาพระวจนะพระเจ้าไปตัดสินคนอื่น ทำร้ายคนอื่นเหมือนฟาริสี
สุดท้าย
ในยากอบ 1:21-25 เตือนว่า“เหตุฉะนั้นจงเลิกความโสมมทั้งหลายแหล่ และการชั่วร้ายอันดกดื่น และจงน้อมใจรับพระวจนะที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น ซึ่งสามารถช่วยจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายให้รอดได้ 22แต่ท่านทั้งหลายจงเป็นคนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น ซึ่งเป็นการลวงตนเอง 23เพราะว่าถ้าผู้ใดฟังพระวจนะ และไม่ได้ประพฤติตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนที่ดูหน้าของตัวในกระจกเงา 24เพราะว่าเมื่อดูตัวเองแล้วก็ไป และก็ลืมในทันทีนั้นว่าตัวเองเป็นอย่างไร 25แต่ผู้ที่พิจารณาดูในวิสุทธิบัญญัติ ซึ่งเป็นพระบัญญัติแห่งเสรีภาพ และตั้งอยู่ในพระบัญญัตินั้น มิได้เป็นผู้ฟังแล้วก็หลงลืม แต่เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตาม ผู้นั้นก็จะได้รับความสุขเพราะการประพฤติปฏิบัติของตน”