(กาลาเทีย 6:7-10)

ในพระธรรมตอนนี้ได้พูดเกี่ยวกับการหว่าน ในการดำเนินชีวิต  ซึ่งมีอยู่ 2 แบบเท่านั้นที่ผู้เชื่อจะเลือก คือ การหว่านฝ่ายวิญญาณ (เป็นการทำที่ยากแต่ต้องทำ เช่น การอวยพรศัตรู  พูดจาให้ดีกับคนที่ไม่รัก)  และการหว่านฝ่ายเนื้อหนัง  (เป็นการทำง่ายมาก เพราะเป็นธรรมชาติของเราที่จะทำหรือหว่านลงไปในความบาป เช่น การด่าว่าคนอื่น หรือการพูดจาหยาบคาย หรือการทำบาปอื่น ๆ )    ซี่งทั้งในโลกและฝ่ายวิญญาณก็มีเมล็ดพันธ์ ในการหว่านหลายชนิดเช่นกัน  ไม่ใช่เมล็ดพันธ์ในการหว่านด้านการเงินเท่านั้น  ในกาลาเทียได้กล่าวถึงการหว่านเกี่ยวกับ  1.การกระทำ 2.การพูด 3.ทรพัย์สินเงินทอง  4.สติปัญญาความสามารถ ความรู้ของประทานในชีวิตของเรา   ในสี่อย่างนี้เราสามารถเลือกหว่านทางด้านวิญญาณ(พระเจ้า)ก็ได้ หรือเนื้อหนัง(บาป)ก็ได้เช่นกัน  ซึ่งเราหว่านอะไรก็ตามเราก็จะได้เก็บเกี่ยวสิ่งนั้นแน่นอน

  1. เมล็ดของการแสดงออกในการกระทำ ซึ่งจะมีผลต่อคนรอบข้างในทุก ๆ ที่ล้อมรอบชีวิตของเรานั้น มันจะกระทบย้อนกลับต่อเรา ซึ่งพระเจ้าปรารถนาจะให้เราเลือกที่จะหว่านฝ่ายวิญญาณลงไปมากกว่าด้านเนื้อหนัง

    21การอิจฉา การเมาเหล้า การเป็นพาลเกเร… คน​ที่​ประ‌พฤติ​เช่น​นั้น​จะ​ไม่​มี​ส่วน​ใน​แผ่น‍ดิน​ของ​พระ‍เจ้า 22ฝ่าย​ผล​ของ​พระ‍วิญ‌ญาณ​นั้น คือ​ความ​รัก ความ​ปลาบ‍ปลื้ม​ใจ สันติ‍สุข ความ​อด‍กลั้น​ใจ…” (กท.5:21-26)

    เปรียบการหว่านเมล็ดพันธ์ไม้ หว่านมะพร้าวก็ได้มะพร้าว หว่านมะม่วงก็ได้มะม่วง  เช่นการหว่านความรักแบบโลกนั้นมักจะหวังผลความรักซึ่งขึ้นอยู่กับอารมณ์ ความรู้สึก ถ้าโกรธหรือฉุนเฉียวก็รักไม่ได้   แต่ถ้าเราเลือกจะหว่านฝ่ายวิญญาณนั้น มันเป็นการตัดสินใจที่จะต้องทำตามพระวจนะ  หว่านความรัก มันเป็นการยากและต้องอดทนอดกลั้นอย่างมาก แต่ผลที่ตามมาก็คือความปลาบปลื้มใจ ความชื่นชมยินดี ซึ่งแสดงออกจากท่าทีในใจที่ทำต่อพระเจ้า (ฟป.4:4)  และก็รับสันติสุขจากพระเจ้า ซึ่งแตกต่างจากสันติสุขของโลก เพราะถ้าเราจะรับแบบโลกนั้น ทุกพื้นที่ในชีวิตต้องดูเงียบสงบ ราบรื่น ไม่มีปัญหาในเรื่องใด ๆ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ นั่นก็หมายถึงเราเอาจากโลกไม่ได้  แต่ถ้าจากพระเจ้าแม้มีปัญหาเราก็สามารถมีสันติสุขและผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นได้  เพราะพระเจ้าทรงใส่ไว้ในใจของเรา เป็นความสงบภายใน ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง… เป็นต้น  ผลพระวิญญาณเหล่านี้  เป็นสิ่งที่พระเจ้าปรารถนาให้เราตั้งใจหว่านสิ่งเหล่านี้ลงไปในชีวิตของเราและกับคนรอบข้างตลอดเวลาเพื่อเราจะเก็บเกี่ยวผลดีกลับมาเสมอ

  2. เมล็ดของการพูด

    (มธ.15:11 “11มิ​ใช่​สิ่ง​ซึ่ง​เข้า​ไป​ใน​ปาก​จะ​ทำ​ให้​มนุษย์​เป็น​มล‌ทิน แต่​สิ่ง​ซึ่ง​ออก‍มา​จาก​ปาก​นั้น​แหละ​ทำ​ให้​มนุษย์​เป็น​มล‌ทิน…”,17-18)

    หมายถึง จะกินอะไรที่เป็นสัตว์ดุร้ายเข้าไปก็ไม่ได้ทำให้เขาดุร้ายตามสิ่งที่กินนั้น แต่สิ่งที่ออกจากปากเป็นมลทิน  (สิ่งที่ออกจากปากก็มาจากใจ) น้ำกร่อยและน้ำดีก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ คำแช่งด่ากับคำสรรเสริญออกจากปากของเราพร้อมกันไม่ได้  ดังนั้นพระเจ้าอยากให้เราพูดแต่คำดี ๆ สิ่งที่เสริมสร้างออกมาจากปากของเรา

    (อฟ.4:29) เพื่อคนที่ได้ยินคำพูดของเรานั้นเขาจะได้รับหนุนใจให้มีพลัง ไม่ใช่คำแช่งสาป

    (สดด.141:3 “ดาวิดได้ขอพระเจ้าส่งยามเฝ้าปากของเขาไม่ให้พูดสิ่งที่ชั่วร้ายออกมา”)

    ทุก ๆ คำพูดของเราที่พูดออกมา  เราต้องรับผิดชอบ

  3. เมล็ดพันธ์ของการถวาย  เป็นพระพรที่ส่งผลต่อผู้เชื่อ สิ่งแรกในการหว่านคือ การถวายสิบลด เป็นคำสั่งของพระเจ้า (มลค.3:10-13)  การถวายหรือช่วยเหลือในงานรับใช้ของผู้รับใช้ของพระเจ้า เพื่อผลกำไรในชีวิตของผู้หว่านเอง (ฟป.4:16-20) การเมตตาช่วยเหลือผู้เชื่อที่ทุกข์ยากขัดสนด้วยใจยินดี เป็นการให้ที่ได้รับการทรงนำจากพระเจ้าและทำทันที  (2คร.9:1,6-8) การให้กับคนขัดสนคือการให้พระเจ้ายืม พระองค์จะเป็นผู้จ่ายให้กับเราเอง (สภษ.19:17)  เพราะพระเจ้าไม่ต้องการเห็นใครสักคนต้องขัดสนยากจนเลย ยิ่งจำหน่ายก็ยิ่งมั่งมี  ยิ่งยึดไว้ก็ยิ่งยากจน
  4. เมล็ดพันธ์ของการใช้สติปัญญาและความสามารถหรือของประทาน  เช่น คำพยานของน้องแตงกวา ที่ได้นำความรู้ภาษาอังกฤษมาสอนน้อง ๆ ในวันเสาร์ ผลที่ได้รับคือสอบวิชาภาษาอังกฤษได้เกรด 4 เป็นต้น  ให้เรานำความรู้ความสามารถของเราที่มีมาแบ่งปันช่วยเหลือผู้คนในแผ่นดินของพระเจ้า  และยังมีตัวอย่างในพระคัมภีร์  เช่น โยเซฟ ดาเนียล เป็นต้น  เขามอบชีวิตในการรับใช้อย่างสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า  เป็นแสงสว่าง และถวายเกียรติทั้งชีวิตแด่พระเจ้า  การรับใช้พระเจ้าที่เกิดผล  แต่ชีวิตของเราไม่สอดคล้องตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  พระเยซูก็จะทรงตรัสว่า  “เราไม่รู้จักเจ้า”

สุดท้ายขอให้เราอธิษฐานและตัดสินใจเพื่อจะกระทำในการหว่านชีวิตของเราในฝ่ายวิญญาณ  เพื่อเราจะได้เก็บเกี่ยวฝ่ายวิญญาณกลับมา และเป็นที่ถวายเกียรติ  ให้เราคาดหวังว่า พระเยซูจะทรงตรัสกับเราว่า “เราพอใจเจ้ามาก” ขอบคุณพระเจ้า  อาเมน.