พระเยซูคริสต์ได้ให้ความสำคัญกับพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด โดยพระองค์เองประพฤติอย่างสมบูรณ์  และพระองค์ยังสอนในตอนท้ายว่า ถ้าใครประพฤติอย่างสมบูรณ์ก็เปรียบเหมือนได้สร้างบ้านบนศิลา  เหมือนการเดินทางแคบแต่เป็นประตูแห่งชีวิต  ซึ่งในสมัยของพระเยซูคริสต์นั้นมีแต่พระคัมภีร์เดิม คนสมัยนั้นจะเรียกว่า “ธรรมบัญญัติ (ปฐมกาล-เฉลยธรรมบัติ) และคำของผู้เผยพระวจนะ (โยชูวา-มาลาคี)” เป็นการดลใจเขียนก่อนพระเยซูคริสต์เสด็จมา  ส่วนพระคัมภีร์ใหม่เป็นการดลใจเขียนหลังพระเยซูคริสต์เสด็จขึ้นสวรรค์โดยประมาณ 20 ปี

ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้กล่าวย้ำว่าพระองค์เสด็จมานั้นมิได้ล้มเลิกธรรมบัญญัติ  แต่มาทำให้ธรรมบัญญัติสำคัญสมบูรณ์ทุกประการ 17 และพระองค์ยังตรัสย้ำในข้อที่ 18 ว่า “ตราบ​ใด​ที่​ฟ้า​และ​ดิน​ดำ‌รง​อยู่ แม้​อักษร​หนึ่ง​หรือ​ขีดๆ​หนึ่ง​ก็​จะ​ไม่​สูญ​ไป​จาก​ธรรม‍บัญ‌ญัติ จน​กว่า​สิ่ง​ที่​จะ​ต้อง​เกิด ได้​เกิด​ขึ้น​” อักษร​หนึ่ง​หรือ​ขีดๆ​หนึ่งภาษาเดิมมีความหมายว่าเป็นขีดที่เล็กที่สุดซึ่งไม่มีความหมายในการแปลเลยยังต้องดำรงอยู่ และต้องสำเร็จ เปรียบเทียบได้กับ ตย.เช่น อักษร J=J, ป=ป, ,1=i” ถ้าไม่ได้เขียนหัวก็ยังรู้ว่าเป็นตัวอะไร หรือเปรียบตย.นี้ว่า มีคนจะให้เงินกับเรา 16,500.- แต่ข้อแม้คือจะให้เป็นเหรียญสลึงกับเรา 66,420 เหรียญ เราจะรับไหม? ถึงแม้ว่าจะหายไปเหรียญหนึ่ง เราก็รับแน่นอนซึ่งมีชายคนหนึ่งชื่อเบงเกลได้นับตัวอักษรที่ดูเหมือนไม่มีความหมายอยู่ในพระคัมภีร์ประมาณ 66,420 คำ (ลก.16:17)  พระเยซูทรงสอนว่าทุกจุดทุกขีดในธรรมบัญญัตินั้นต้องปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัดและสมบูรณ์ ไม่ได้ยกเลิก และทรงย้ำต่ออีก

ในข้อ 19 “เหตุ​ฉะนั้น ผู้ใด​ได้​ทำ​ให้​ข้อ​เล็กน้อย​สัก​ข้อหนึ่ง​ใน​ธรรมบัญญัติ​นี้​เบา​ขึ้น ทั้ง​สอน​คน​อื่น​ให้​ทำ​อย่าง​นั้น​ด้วย ผู้นั้น​จะ​ได้​ชื่อว่า​เป็น​ผู้น้อย​ที่สุด​ใน​แผ่นดิน​สวรรค์ แต่​ผู้ใด​ที่​ประพฤติ​และ​สอน​ตาม​ธรรมบัญญัติ ผู้นั้น​จะ​ได้​ชื่อว่า​เป็น​ใหญ่​ใน​แผ่นดิน​สวรรค์

ซึ่งเราจะมาดูกันว่าในพระคัมภีร์เดิมอะไรบ้างที่คจ.สมัยนี้เรามักจะมองข้ามบัญญัติที่วางไว้นั้นมีอะไรบ้าง? เช่น…

*เรื่องการถวายสิบลดเรายังคงต้องกระทำอยู่อย่างเคร่งครัดหรือไม่ ? เพราะในหนังสือพระคัมภีร์ใหม่บันทึกว่า

“ให้เราถวายออกไปด้วยความเต็มใจ ด้วยใจสมัคร และมิได้ฝืนใจ” (2คร.9:7-12)

ซึ่งคำตอบก็คือเรายังคงต้องรักษาเพราะสิบลดนั้นเป็นของพระเจ้าเราเอาของพระเจ้าไปไม่ได้เลย (มลค.3)  ถ้าเราไม่ประพฤติมันเป็นเรื่องอันตรายสำหรับเรามาก เราฉ้อ(โกง)พระเจ้า เราจะถูกสาปแช่ง เพราะทุกคนต้องเข้าใจว่าในพระคัมภีร์ทั้งใหม่และเก่านั้นจะไม่มีทางขัดแย้งกัน แต่จะสนับสนุนกันและกันอย่างดี    และที่ในพระคัมภีร์ใหม่ที่กล่าวไว้ว่าให้ถวายออกไปด้วยความเต็มใจ และใจยินดีนั้นหมายถึงอะไร เราต้องคิดตามว่าในสมัยนั้นมีการกันดารอาหารในกรุงเยรูซาเล็มในแคว้นยูเดีย และพี่น้องชาวมาซิโดเนีย และแคว้นอาคะยา(ชาวโครินธ์)ซึ่งอยู่ไกลคนละฝั่งทราบข่าว  ชาวมาซิโดเนียก็เลยตัดสินใจเรี่ยรายช่วยเหลือกันส่งเงินมาให้ชาวยูเดียทันที แต่ชาวโครินธ์ยังรีรอในการตัดสินใจอยู่  เปาโลก็ทราบจึงได้เขียนจม.หนุนใจว่าให้ถวายออกไปด้วยใจยินดี ด้วยใจสมัคร พระเจ้ารับผู้นั้นที่เต็มใจถวาย  สรุปว่าเรายังคงรักษาการถวายสิบลด และถวายพิเศษซึ่งนอกเหนือจากสิบลดเพื่อช่วยเหลือพี่น้องที่เดือดร้อน  ให้เรารักกันและกันด้วยการกระทำ  แล้วท่านจะได้รับพระพรจากการถวายของท่าน

*เรื่องกฎวันสะบาโต คือวันที่เราต้องหยุดพักและมานมัสการพระเจ้าร่วมกัน บางคนก็อ้างว่าพระเยซูคริสต์ยังทำงานในวันนั้นในการรักษาเลย  แต่พระองค์ช่วยเหลือคนด้วยความรัก เพราะความรักนั้นใหญ่สุด  ดังนั้นพวกเราควรต้องมานมัสการร่วมกัน และอยู่สามัคคีกันกับพี่น้อง กลับบ้านไปก็ควรรักษาชีวิตต่อเนื่องด้วยการอ่านพระคัมภีร์หรือพักผ่อนไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับสื่อทางโลกเลยถ้าไม่จำเป็น หรือเวลามาคจ.แล้วก็ไม่ควรพูดคุยเรื่องไร้สาระในคจ.  พระเจ้าตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมหลายครั้งว่า “หยุดเหยียบย่ำวันสะบาโต”  ดังนั้นเราควรต้องให้เกียรติและรักษาวันสะบาโตอย่างเคร่งครัด

สดด.138:2 “….เพราะ​พระ‍องค์​ทรง​เชิดชู​พระนาม​และ​พระวจนะ​ของ​พระ‍องค์​เหนือ​สาร‌พัด”

และเราจะสำแดงการให้เกียรติที่ชัดทีสุดได้ก็คือ  การประพฤติตามพระวจนะอย่างเคร่งครัด

(มธ.5:16 “…จงให้ความสว่างของท่านกระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย  เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่านและสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์)

และนี่เป็นการแสดงออกว่าเรารักพระเจ้า  ในความรักพระเจ้านั้นเป็นการตัดสินใจ  ที่เลือกจะเชื่อฟังและปฎิบัติตามคำตรัสของพระองค์

(ยน.15:10 “…ท่านเชื่อฟังคำบัญชาของเรา ท่าน​ก็​จะ​ยึด​มั่น​อยู่​ใน​ความ​รัก​ของ​เรา ดังที่เราได้เชื่อฟังพระบัญชาของพระบิดาของเราและคงอยู่ในความรักของพระองค์)

20  เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์  และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์  พระเยซูทรงอธิบายให้เข้าใจว่า  โดยปกติแล้วพวกธรรมจารย์ และฟาริสีเป็นคนถือรักษากฎอย่างเคร่งครัดแต่ก็ไม่สมบูรณ์  เราซึ่งเป็นคริสเตียนยิ่งต้องทำดีให้มากกว่าอีกเช่น

*เรื่องการฆ่าคน หรือการว่าพี่น้องว่า “ไอ้โง่ & ไอ้บ้า รวมถืงคำด่าต่าง ๆที่แฝงความโกรธในใจ” (21-26) การโกรธพี่น้องของตนจนด่าต่อว่าพี่น้องออกไปซึ่งถือว่าเป็นใจฆาตกร  พระเยซูถือว่าเขาควรรับโทษเทียบเท่าฆาตกร  เราจึงควรมีใจรักและอภัยไม่ถือโทษคน  ดังนั้นเราก็นับว่าทำดีกว่า เพราะเราไม่ได้ยึดถือแค่ตัวอักษรที่บัญญัติ แต่เราเป็นผู้กระทำตามพระบัญญัติด้วยการมองใจของพระเจ้า

*เรื่องการล่วงประเวณี (27-32) ปัจจุบันคต.มักมองข้าม  เพราะการมองสื่อต่าง ๆ เช่น ละคร หนังสือการ์ตูน หนังสือดาราเรื่องข่าวฉาวต่าง ๆหรือชายหญิงอื่นนอกจากคู่ชีวิตของตัวเองด้วยความรู้สึกหรืออารมณ์จินตนาการนั้น ฯ ก็คือใจกำหนัด  ถือเป็นความบาปการล่วงประเวณี  ไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า  ซึ่งนำพาให้ตกนรกแล้ว  และถ้าชายใดหย่ากับภรรยาโดยเหตุผลอื่นนอกเหนือจากการผิดศีลธรรมทางเพศ และเธอต้องไปหาสามีใหม่เพื่อเลี้ยงตัวเอง ก็ถือว่าทำให้นางและคนที่แต่งงานด้วยนั้นผิดในการล่วงประเวณี  ส่วนชายที่หย่านั้นเมื่อไปแต่งงานใหม่ก็ผิดการล่วงประเวณีเช่นกัน  ก็คือตกนรก น้ำพระทัยของพระเจ้าเมื่อสร้างมนุษย์คือให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ควรแยกจากกัน  เหมือนกับพระเจ้าในตรีเอกานุภาพ ซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ขัดแย้งกัน    และนี่เป็นเรื่องที่มองข้ามไปคือเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า ซึ่งพระวิญญาณอยู่ภายในเรา นั้นย่อมหมายถึงการคิด การกระทำ การตัดสินใจของเรานั้นพระองค์ย่อมเห็นรับรู้ด้วย  ซึ่งเรามักทำอะไรผิด ๆ โดยไม่รู้สึกว่ามีพระเจ้าอยู่กับเราด้วยในเวลานั้น  ทำให้พระองค์ทรงเสียพระทัยแต่ก็ยังทรงอดทนต่อเรา  ดังนั้นอย่าให้พระวิญญาณพรากไปจากเราเนื่องด้วยการกระทำ แต่จงให้เป็นตัวอย่างของเราในการอดทนนานต่อผู้อื่นเหมือนอดทนต่อเรา  สรุปแล้วเมื่อเราตัดสินใจแต่งงานกับใครแล้ว  เราไม่มีสิทธิหย่าร้างเด็ดขาด  จะต้องอดทนอยู่กับคู่ชีวิตของเราตลอดชีวิต  ไม่งั้นเราก็ทำผิดล่วงประเวณี

*การสาบาน (33-37) เนื่องด้วยพระบัญญัติกล่าวห้ามอ้างพระนามพระเจ้าเปล่า ๆ  ผู้นำและฟารีสีจึงอ้างเฉียดพระนามพระองค์ด้วยนามกรุงเยรูซาเล็มบ้าง ฟ้าสวรรค์บ้าง แผ่นดินโลกบ้าง  ซึ่งพระเยซูตรัสห้ามไม่ให้สาบาน เพราะจริงก็ว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ เพราะเกินนี้ก็มาจากมาร  พูดคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้น  เมื่อสัญญากับใครควรทำตามนั้นทุกประการ  โดยเฉพาะกับคำสัญญาที่เราให้กับพระเจ้า  เราควรยึดถือและปฎิบัติรักษาคำสัญญา

เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของคำเทศนาของพระเยซูคริสต์บนภูเขา  ซึ่งยังมีอีกมากมายที่ยังไม่ได้กล่าว เราไม่ควรยึดตามแค่ตัวอักษรหาช่องว่างและหาข้ออ้างที่จะหลบหลีกในการประพฤติ  แต่จงมองที่พระวจนะและเพ่งไปที่หัวใจของพระองค์ว่า พระองค์ประสงค์ให้เราประพฤติปฎิบัติอย่างไรกับเรื่องนั้น ๆ  ดังที่กล่าวย้ำแล้วย้ำอีกว่า  พระเยซูคริสต์ทรงยังรักษาและประพฤติตามพระบัญญัติในพระภัมภีร์เดิมอย่างเคร่งครัดและทรงกระทำให้สมบูรณ์  เราก็ควรกระทำเช่นนั้นเหมือนพระองค์ด้วยเช่นกัน  ให้ทำด้วยหัวใจที่เข้าใจในพระเจ้า  ไม่ใช่ทำด้วยใจที่ขัดขืน  จงเชื่อและประพฤติตาม  แล้วเราก็จะได้รับพรตามพระสัญญา เมื่อเราทำผิดก็ให้เราสารภาพบาปและเชื่อว่าพระองค์ทรงให้อภัยเรานำความบาปไปไกลจากชีวิตของเราเหมือนตะวันออกไกลจากตะวันตก  จงมีความเชื่อและประพฤติตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการ

ขอพระเจ้าทรงอวยพร