จากพระวจนะบทนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า  เมื่อเราเป็นพยานต่อผู้อื่นสิ่งสำคัญคือ  เราควรพูดเรื่องที่เขาสนใจอยู่หรือสิ่งที่อยู่แวดล้อมตัวของเขา  และสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นและเป็นเรื่องสำคัญคือ  ต้องไม่ให้เขานำเราออกนอกประเด็นจากจุดหมายของเราที่จะประกาศข่าวประเสริฐ  เพราะส่วนใหญ่การประกาศของเรามักจะล้มเหลวเพราะถูกเขานำออกนอกประเด็น  ให้เรามองที่พระเยซูคริสต์ที่พระองค์ได้ทำอย่างชาญฉลาดด้วยสติปัญญาของพระองค์

พระองค์ทรงเริ่มต้นจากเรื่อง “น้ำ” ที่หญิงนั้นสนใจ “7…ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง” แต่นางก็พยายามดึงพระเยซูออก และพูดถึงปัญหาเรื่องชาวยิวกับสะมาเรีย  “9…ไฉนท่านผู้เป็นยิวจึงขอน้ำดื่มจากดิฉันผู้เป็นหญิงสะมาเรีย เพราะพวกยิวไม่คบหาชาวสะมาเรียเลย”  พระองค์ก็ไม่ทรงออกนอกประเด็นตามหญิงนั้น  แต่กลับนำเธอกลับเข้าสู่ประเด็น 10…ถ้าเจ้าได้รู้จักของประทานของพระเจ้า และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า `ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง’ เจ้าจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นจะให้น้ำประกอบด้วยชีวิตแก่เจ้า”  หลังจากนั้นหญิงนี้ก็โต้ตอบทันทีในลักษณะเหมือนยั่วยวนพระองค์ และถามพระองค์กลับไปว่า  “12…ท่านเป็นใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเรา ผู้ได้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือ …”  พระองค์ก็ยังนำเธอกลับเข้าถึงประเด็นอีก หญิงนั้นก็ยังถามคำถามที่ดูแล้วไม่สนใจ  และพระเยซูคริสต์ก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจอะไรแต่ยังนำหญิงนั้นกลับสู่ประเด็นจนหญิงนั้นต้องการน้ำนั้น “13…ผู้ใดที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก 14… แต่ผู้ใดที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้นจะไม่กระหายอีกเลย แต่น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้นจะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์”   และพระองค์เปิดเผยว่าพระองค์ทรงเป็นศูนย์กลางของประเด็นและตรัสกับเธอ “16…ไปเรียกสามีของเจ้ามานี่เถิด”  สิ่งนี้สอนให้เรารู้ว่าเมื่อเรานำเขาเข้าสู่ประเด็นหลักแล้ว เราต้องนำเข้าถึงชีวิตของเรา ว่าพระเยซูคริสต์เป็นใครในชีวิตของเรา มีความสำคัญมากขนาดไหนสำหรับชีวิตของเรา  เพราะจะส่งผลให้กับผู้ฟังที่เขาจะได้รับสัมผัสจากความจริงในคำพยานชีวิตของเราได้  ว่าพระองค์ยิ่งใหญ่ และได้ทรงทำอะไรบ้างตลอดชีวิตของเรา  ย้ำถึงพระเยซูคริสต์ไม่ใช่ศาสนา  พระองค์ทรงเป็นมากกว่าที่เรารู้จัก จุดหลักสำคัญที่สุดในการเป็นพยานคือ  เราต้องบอกเขาให้ได้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นใครสำหรับชีวิตของเรา

ให้เรามาดูต่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นใคร?        บางคนก็ว่าเป็นยอห์น แบ็พติส บ้างก็ว่าเป็น เอลียาห์ แต่พระเยซูคริสต์ทรงตรัสถามสาวกว่าแล้วพวกท่านคิดว่าเราเป็นใคร ดังนั้นพวกเราที่เป็นคริสเตียนจะต้องตอบให้ได้ว่าพระองค์เป็นใครในชีวิตของเรา  ในฮีบรูกล่าวถึงพระเยซูคริสต์ทรงเป็นมหาปุโรหิต ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าโมเสสที่ชาวยิวเคารพ

ในข้อ 14กล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นน้ำแห่งชีวิตซึ่งใครดื่มก็จะไม่กระหายอีกเลย”

ร่างกายคนเราขาดน้ำไม่ได้ถ้าขาดก็ตาย  ชีวิตของเราจึงขาดพระเยซูคริสต์ไม่ได้เช่นกัน (ยน. 6:35, 7:37-39) อย่าให้ชีวิตของเราเหมือนชาวโลกทั่วไป เพราะเขามีชีวิตที่กระหายไม่มีวันหยุด รู้สึกชีวิตขาดอยู่ตลอดเวลา  เติมเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักเต็ม  เราสามารถสังเกตได้จากกองขยะซึ่งสูงเป็นภูเขา  ซึ่งเวลาผ่านไปข้างหน้าขยะอาจท่วมโลกก็ได้  เพราะมนุษย์เรานั้นไม่มีวันหยุดความอยากของตัวเองได้  แต่ใน

อสย. 55:1-3 “โอ เชิญทุกคนที่กระหายจงมาถึงน้ำ และผู้ที่ไม่มีเงินมาซื้อกินเถิด มาซื้อน้ำองุ่นและน้ำนมเถิด โดยไม่ต้องเสียเงินเสียค่า ทำไมเจ้าจึงใช้เงินของเจ้าเพื่อของซึ่งไม่ใช่อาหาร และใช้ผลแรงงานซื้อสิ่งซึ่งมิให้อิ่มใจ จงเอาใจใส่ฟังเรา และรับประทานของดี และให้จิตใจปีติยินดีในไขมัน เอียงหูของเจ้า และมาหาเรา จงฟัง เพื่อจิตวิญญาณของเจ้าจะมีชีวิต และเราจะทำพันธสัญญานิรันดร์กับเจ้า …”

และ วว.22:17, อสค. 47:9-10 ขอให้น้ำแห่งชีวิตได้ไหลพุ่งขึ้นในชีวิตของเราทุกวันเพื่อจะพบกับสันติสุข รู้จักพอ มีชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ในองค์พระเยซูคริสต์

มีตัวอย่างผู้รับใช้ท่านหนึ่ง ในวัยเด็กท่านเห็นพ่อเมาและทำร้ายแม่ของเขาทุกวัน จนวันหนึ่งหน้าโรงวัวเขาเห็นพ่อตีแม่อย่างทารุน  เขาจึงขับรถแล้วกระชากร่างของพ่อในขณะที่ยังเมานั้นขึ้นรถและนำไปขังและมัดด้วยเชือกที่ห้องเก็บของจนกว่าจะส่างเมา  ตลอดชีวิตของเขาจึงมีความขมขื่นและเกลียดพ่อมาก เมื่อแม่เขาจากไปเขาก็ไม่กลับไปหาพ่ออีกเลย จนกระทั่งเขาได้พบกับกลุ่มคริสเตียนและท้าทายให้เขาลองแสวงหาและพิสูจน์เรื่องของพระเจ้าจนเขาค้นคว้าและพบกับความ่จริง เขาจึงไปที่โบสถ์รับเชื่อ  ชีวิตเขาเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อศบ.พูดถึงการให้อภัยให้คุณพ่อของเขา เขาก็ไม่ยอม  ศบ.จึงอ่านพระคัมภีร์ตอนที่ “พระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน แต่ก็ยังอธิษฐานต่อพระบิดาให้อภัยกับคนเหล่านั้นที่ตรึงพระองค์”  เขาจึงยอมกลับใจ และขับรถไปหน้าบ้านพ่อและขอโทษกับพ่อแต่ด้วยท่าทีที่ไม่จริงใจ ทำตามหน้าที่แล้วกลับบ้านไป  จนมาวันหนึ่งเขาได้พบกับอุบัติเหตุ จนเป็นอัมพาตขยับได้แค่ปากกับตาเท่านั้น ในที่สุดรพ. ก็ต้องนำร่างของเขากลับไปอยู่กับพ่อของเขา ซึ่งเห็นพ่อเดินไปเดินมาและก็ออกไปร้องไห้เพราะไม่รู้จะช่วยยังไงดี  ในที่สุดเขาก็ยอมเป็นพยานให้กับพ่อของเขาด้วยความรักว่า “พระเยซูคริสต์สามารถช่วยพ่อได้ในสภาพที่พ่อเป็นอยู่  พระเยซูรักพ่อและรักผมด้วย” เมื่อพ่อเขาฟังแล้วก็ยอมกลับใจและอธิษฐานสารภาพบาปแบบง่าย ๆ กับพระเจ้าในเวลานั้น  แล้วหลังจากอธิษฐานชีวิตของพ่อก็พลิก  สามารถเลิกเหล้าได้ทันที   หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วก็ออกไปเป็นพยานกับคนในหมู่บ้าน และนำคนมารู้จักกับพระเจ้าอีกมากมาย  นี่แหละเขาออกไปเป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์ทรงเป็นใครในชีวิตของเขา  ที่ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ  ทำให้ผู้คนอีกมากมายมายอยากเปลี่ยนและมีชีวิตใหม่บ้าง

ยน.4:16-18 พระเยซูคริสต์จึงได้ตรัสกับหญิงว่า “16…ไปเรียกสามีของเจ้ามานี่เถิด…” พระองค์ไม่ได้อธิษฐานให้นางทันที  แต่เน้นถึงความบาปที่ยังเป็นอุปสรรคของนางซึ่งยังไม่ได้กลับใจ  ต้องให้นางสารภาพบาปที่ยังมีอยู่ในชีวิตให้หมดเสียก่อน เพื่อนางจะสามารถรับพระคุณของพระเจ้าเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตได้  เราทุกคนก็เช่นกันต้องกลับใจใหม่ สารภาพบาปของเรา  เพราะไม่มีใครสักคนเดียวเป็นคนชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า  เราจึงต้องพึ่งพาพระคุณของพระเจ้า และต้องการน้ำแห่งชีวิตเข้ามาเต็มล้นและช่วยเหลือเรา  เราต้องเข้าหาพระองค์ด้วยความถ่อมใจและยำเกรงพระองค์อย่างจริงใจ ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำ กลับใจจากบาปของเราให้หมด และต้องตัดสินใจที่จะไม่กลับไปสู่ความบาปที่เราเคยทำอีกเด็ดขาด  เพราะไม่อย่างนั้นชีวิตของเราจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย  จะเป็นคริสเตียนที่มีพระเยซูคริสต์อยู่นอกชีวิตไม่ใช่ในชีวิตของเรา นำพระคุณของพระเจ้าไปทำในสิ่งที่ผิดบาป

(ยูดา 4 “เขา…เป็นคนอธรรม ที่ได้บิดเบือนพระคุณของพระเจ้าของเราไปเป็นการกระทำความชั่วช้าลามก และได้ปฏิเสธพระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว …”)

สุดท้ายขอให้ชีวิตของพวกเราทุกคนที่จะไม่เป็นแบบศาสนา  แต่จะเป็นแบบมีพระเยซูคริสต์เข้ามาเปลี่ยนแปลงและควบคุมชีวิตของเราได้  ให้พระองค์ขับเคลื่อนชีวิตเราสำเร็จเป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์  ยอมให้พระเยซู่คริสต์เป็นจอมเจ้านาย  องค์เจ้าชีวิตของเราตลอดไป  อาเมน