ข้อพระคัมภีร์หลัก​     ปฐมกาล 6

ในพระคัมภีร์ตอนหนึ่งได้บันทึกไว้เกี่ยวกับความเชื่อของคนๆหนึ่งเมื่อหลายพันปีมาแล้ว เป็นเรื่องของชายที่ชื่อว่า “โนอาห์” ปัจจุบันนักวิทยาศาตร์และมนุษย์พยายามพิสูจน์ถ้อยคำต่างๆที่อยู่ในพระคัมภีร์ พยายามที่จะพิสูจน์หาหลักฐานต่างๆที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าเป็นจริงหรือไม่? และหลักฐานซากเรือโนอาห์ที่พบอยู่บนยอดเขาในเทือกเขาอารารัต ซึ่งถูกฝังอยู่ในน้ำแข็งที่ถูกค้นพบเมื่อประมาณ 20ปีมานี้ ก็เป็นหลักฐานหนึ่งที่สนับสนุนว่าเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกในพระคัมภีร์เป็นเรื่องจริง ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษาการทับถมของชั้นดินในที่ต่างๆทั่วโลก ที่สามารถบ่งบอกอายุของโลกนี้ และบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของผิวโลกในอดีต ก็เป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่สนับสนุนเรื่อง”น้ำท่วมโลกครั้งใหญ่”ที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ตอนนี้เช่นกัน พระคัมภีร์ที่จะเรียนรู้ในวันนี้เป็นเรื่องราวในสมัยของชายที่ชื่อ “โนอาห์” ในสมัยนั้นมนุษย์เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามและชั่วร้าย สาระวน คิดถึงแต่เรื่องความต้องการ ความปรารถนาของตัวเองเป็นหลัก ไม่สนใจพระเจ้า และไม่สนใจในคำตักเตือนของพระเจ้า มีโนอาห์และครอบครัวของเขาเท่านั้นที่เชื่อพระเจ้าและเชื่อฟังคำตักเตือนของพระเจ้า พระเจ้าให้โนอาห์ต่อเรือลำใหญ่มหึมาที่จะสามารถช่วยคนและสัตว์มากมายให้้รอดพ้นจากน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่นั้น แต่ในสมัยนั้นยังไม่เคยมีฝนตกและไม่เคยมีน้ำท่วมโลกเลย ประชาชนต่างพากันไม่เชื่อและเยาะเย้ยโนอาห์ และแล้ววันนั้นก็มาถึง ฝนได้ตกหนัก 40วัน40คืน และน้ำจากช่องบาดาลจำนวนมหาศาลก็ไหลทะลักขึ้นมาจากใต้ดินจนน้ำท่วมโลก มองไม่เห็นภูเขาเลยสักลูกเดียว เห็นแต่พื้นน้ำแผ่ปกคลุมไปทั้งหมด แล้วน้ำก็ท่วมโลกอยู่อย่างนั้นเป็นเวลา 150 วัน แล้วจึงค่อยๆลดลง นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง คนที่เชื่อก็รอด คนที่ไม่เชื่อรวมถึงสัตว์และพืชที่อยู่บนพื้นดินก็ถูกทำลาย ตายอยู่ในน้ำนั้น ในเหตุการณ์ครั้งนั้น มีโนอาห์และครอบครัวจำนวน 8 คนเท่านั้นที่รอด และสัตว์ต่างๆตามจำนวนที่พระเจ้าตรัสสั่งโนอาห์ให้นำขึ้นไปบนเรือไว้เท่านั้น นอกนั้น “ไม่รอด”

เหตุการณ์นั้นได้สอนให้เราเชื่อฟังพระเจ้าและสนใจคำเตือนของพระองค์ ใน มัทธิว 24:37-39  เพราะว่าสมัยของโนอาห์เคยเป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายพากันกินดื่มกัน สมรสกันและยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือใหญ่ และน้ำท่วมกวาดเอาพวกเขาไปทุกคนโดยไม่ทันรู้ตัวอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น” เป็นคำเตือนว่าพระเยซู ทรงเตือนสำหรับมนุษย์ในโลกปัจจุบัน ว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมาและจะช่วยให้คนที่เชื่อในพระองค์ให้รอด สิ่งที่มนุษย์ในสมัยโนอาห์ทำคือพวกเขาเพิกเฉยต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงเตือน พวกเขาสนใจแต่ความสนุกสนาน สนใจที่จะตอบสนองความต้องส่วนตัวของเขาเท่านั้น สิ่งที่เขาได้รับคือความตาย และในยุคนี้เช่นเดียวกัน พระเยซูได้ทรงเตือนเราทุกคนเช่นเดียวกันตาม มัทธิว 24:37-39 พระเยซูปรารถนาจะช่วยเรา จึงทรงเตือนเรา และอย่าให้เราทั้งหลายเพิกเฉยต่อคำเตือนของพระองค์เหมือนคนในสมัยโนอาห์เพื่อเราทั้งหลายจะได้มีชีวิตรอด

เมื่อพิจารณาความเชื่อและการตอบสนองของโนอาห์ต่อคำตรัสและเตือนของพระเจ้า  สิ่งที่เราจะได้เรียนรู้นี้สามารถเป็นบทเรียนให้กับเราในการดำเนินชีวิตในความเชื่อและเชื่อฟังพระเจ้า ดังนี้

  • โนอาห์มีความเชื่อในพระดำรัสของพระเจ้า (ข้อ7) ใน ปฐก.6:22 ;7:5 โนอาห์เชื่อฟังและตอบสนองต่อสิ่งที่พระเจ้าตรัสและเตือนทันที เขาเชื่อพระเจ้าทุกอย่าง เขาไม่ได้มองที่สถานการณ์ เขาไม่เคยสงสัยในพระดำรัสสั่งของพระเจ้าเลย แต่เต็มใจทำตามที่พระเจ้าตรัสนั้น แม้ในเวลานั้นคนไม่เคยรู้จักและไม่เคยเห็นน้ำท่วมเลย และไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำว่าฝนตกเป็นอย่างไร? เพราะในเวลานั้นยังไม่มีฝนตกเลย เป็นที่เข้าใจได้ยากว่าน้ำจะท่วมโลกได้อย่างไร คนจึงไม่เชื่อและพากันเยาะเย้ยโนอาห์ แต่โนอาห์ไม่ได้สนใจคนเหล่านั้น แต่เขาสนใจในถ้อยคำของพระเจ้าที่พูดกับเขา และเขาสัตย์ซื่อ อุทิศทุ่มเท สละเวลาและกำลังในการต่อเรือขนาดมหึมาตามที่พระเจ้าบอกเขา โนอาห์ใช้เวลาสร้างเรือ 100ปี และเขาต้องเตรียมเสบียงอาหารสำหรับครอบครัวและสัตว์ต่างๆนั้นด้วย ในระหว่างที่น้ำท่วมนั้น ไม่ต่ำกว่า 150วัน เป็นงานที่เหนื่อยและหนักมาก แต่เขาเต็มใจและสัตย์ซื่อในการทำสิ่งนั้นจนสำเร็จ เรื่องนี้หนุนใจเราว่า บางครั้งในการเชื่อฟังพระเจ้า เราอาจต้องแลกด้วยเวลา แรงกาย หรือ แลกกับความสะดวกสบาย หรือความต้องการส่วนตัวบางอย่าง (แต่พระเจ้าไม่ทรงสั่งให้เราทำให้ส่วนที่เกินกำลังของเราแน่นอน) เพื่อทำให้แผนการของพระเจ้าสำเร็จ และนำการช่วยกู้มาสู่เราและครอบครัว รวมถึงคนอื่นๆที่อยู่รอบตัวเราด้วย เราพร้อมที่จะเชื่อฟังและเสียสละแบบโนอาห์หรือไม่? มัทธิว 7:24-25 คนที่ฉลาดได้แก่คนที่ความวางใจของเขาอยู่ที่พระเยซู แต่คนที่ไม่เชื่อ พระคัมภีร์เรียกคนพวกนี่ว่า “คนโง่”
  • โนอาห์มีความเชื่อที่ยำเกรงพระเจ้า คำว่า “ยำเกรง” คือ การเกรงกลัว เพราะเคารพนับถือ ความยำเกรงพระเจ้าก่อให้เกิดสิ่งดีในชีวิตของเรา นำมาซึ่งการอวยพร ความสุข ปัญญา (สดด.112:1, 128:1, 31:19, วว.11:18, สภษ.9:10) เพราะโนอาห์เป็นผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าเขาจึงเป็นสุข มีสติปัญญาในการต่อเรือและบริหารจัดการทุกอย่าง จัดเตรียมอาหารให้สัตว์ต่างๆ จนสำเร็จเรียบร้อยตามเวลา
  • โนอาห์มีความเชื่อและแสดงออกเป็นการกระทำ (ข้อ 7) โนอาห์สนใจในคำตรัสของพระเจ้า เขาไม่เพียงแต่ฟัง แต่เขายังลงมือทำทันทีจนสำเร็จครบถ้วนทุกอย่าง เขาใช้เวลาต่อเรือถึง100ปี และอดทนต่อคำเยาะเย้ยถากถางจากคนอื่นรอบข้างตลอดเวลา ขณะที่คนอื่นเพิกเฉยและสาระวนกับความต้องการของตนเองเท่านั้น (ปฐก.6:5,21) สิ่งที่โนอาห์ได้รับคือเขาได้รับการช่วยกู้ให้รอด และที่สำคัญเขาได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าโดยความเชื่อฟังของเขา ส่วนคนอื่นเขาได้รับคือการพิพากษาจนถึงความตาย โนอาห์มีความเชื่อ และเป็นความเชื่อที่มีการแสดงออก จึงเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า และ พงศ์พันธุ์ของเขาได้รับพรจากพระเจ้า

ขอให้เรามีความเชื่อแบบโนอาห์ ให้เราเป็นผู้ที่เชื่อฟัง ยำเกรงพระเจ้าและ ไม่ใช่แค่คำพูดที่ปากเท่านั้น แต่สำแดงออกให้เห็นเป็นการกระทำ และให้ชีวิตของเราเป็นพรแก่ผู้อื่น แก่คนทั้งหลายที่ได้พบเรา

ขอพระเจ้าทรงอวยพรท่าน อาเมน

(ศศกร กลิ่นส่ง ผู้สรุปคำเทศนา)