พระเจ้าของเราทรงทำทุกสิ่งด้วยการวางแผนไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่เกิดขึ้นแบบบังเอิญ พระองค์ทรงเรียกเราทุกคนโดยมีเป้าหมายและแผนการสำหรับเราทุกคนให้เติบโต และทำพันธกิจให้เกิดผล สมกับการทรงเรียกที่มีต่อชีวิตของเรา (อฟ.4:1-8)
และวันนี้เราจะกล่าวถึงการรับใช้ผ่านทางคริสตจักร เราต้องเข้าใจบทบาทของของประทานทั้ง 5 และบทบาทของการเป็นสมาชิกในคริสตจักร ที่จะต้องเติบโตขึ้น และออกไปรับใช้ในการเสริมสร้างให้คริสตจักรเจริญขึ้น อ.เปาโลได้กล่าวถึงบทบาทของผู้รับใช้ที่มีของประทานทั้ง 5 นี้เพื่อชุนชีวิตของสมาชิกทุกคนให้แข็งแรง ปิดช่องโหว่ชีวิตของสมาชิก ด้วยการสำแดง ชุนด้วยการสอน การลงชีวิตเสริมสร้างปรับเปลี่ยนให้พวกเขาแข็งแรง เติบโต เพื่อเขาจะดำเนินชีวิตสมกับการทรงเรียกของพระเจ้า ซึ่งเมื่อเข้าใจแล้วคริสเตียนที่ดำเนินชีวิตที่สมกับการทรงเรียกของพระเจ้า คือคนที่พร้อมยอมรับการเปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 4 ประการดังต่อไปนี้ คือ……..
1. จากท่าที “ปรนนิบัติเรา” มาเป็น “เราปรนนิบัติ”
หมายถึง อดีตของความเชื่อคต.มักคิดว่าการเป็นผู้รับใช้จะต้องยากจน ถ่อมใจ ไม่มีสิทธิ์มีความสุขเกินความจำเป็น และต้องทำงานให้คุ้มค่าจ้าง แต่ปัจจุบันความคิดนี้ได้ถูกเปลี่ยนไป แต่ก็ยังไม่หมดเสียทีเดียว สมาชิกก็ยังมีความคิดอยู่ว่าผู้รับใช้ควรมาปรนนิบัติดูแลเอาใจใส่เราให้เต็มที่ตลอดการเป็นสมาชิกในคริสตจักรนั้น ๆ นั่นหมายถึงการที่เราต้องการให้คริสตจักรต้องตอบสนองความต้องการของเราทุกอย่าง สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเราก็ไม่มีทางเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ที่จะรับใช้ผู้อื่นได้ ดังนั้นเราควรเปลี่ยนท่าทีของเราเสียใหม่ในความปรารถนาทุกประการให้เรามองและแสวงหาการช่วยเหลือที่มาจากพระเจ้า และพร้อมที่จะให้ผู้รับใช้หรือคริสตจักร เป็นผู้ช่วยเหลือเตรียมชีวิตเราเข้าสู่การเป็นผู้รับใช้ เพื่อปรนนิบัติผู้อื่นสมกับการการทรงเรียกของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรา ดังนั้นท่าทีของเราทุกคนควรจะมี คือรักที่จะปรนนิบัติผู้อื่น
2. จากท่าที “ชื่นชอบระยะไกล” มาเป็น “ช่วยเหลือระยะใกล้”
(กจ.2:46-47) หมายถึง เมื่อคริสตจักรมีสมาชิกมากขึ้น เป็นเหตุที่เราห่างไกลกัน ทำให้สัมพันธภาพของสมาชิกนั้นเหินห่าง ทำให้ไม่สามารถดูแลกันแบบใกล้ชิดได้เมื่อบางคนมีปัญหา กลุ่มต่าง ๆ ก็กระจัดกระจาย แต่สมัยกิจการนี้เขามีวิธีแก้ปัญหาคือ การมีประชุมในกลุ่มย่อยๆ หรือกลุ่มเซลตามบ้าน อธิษฐานร่วมกัน ดูแลกันแบบใกล้ชิดมากขึ้น เพราะสมาชิกนั้นมีท่าทีในการปรนนิบัติผู้อื่น ให้เราทุกคนมีท่าทีช่วยเหลือในระยะใกล้ เข้ากลุ่มต่าง ๆ ตามที่คริสตจักรได้จัดไว้ให้เพื่อเสริมสร้างซึ่งกันและกัน
3. จากท่าที “นั่งชม” มาเป็น “นมัสการ”
จากการที่สมาชิกบางคนอาจมีท่าทีการนั่งชมคอนเสิร์ตการนมัสการพระเจ้า ดูเพื่อเพลงเพราะ หรือสนุก แต่แท้จริงแล้วเราควรมีท่าทีที่จะเข้าร่วมนมัสการด้วยใจจริง เราต้องตีค่าพระเจ้าที่เรานมัสการนั้นสูงส่ง แสดงท่าทีในการยกย่อง ยกชู สรรเสริญ นมัสการด้วยจิตวิญญาณ และด้วยความจริงจากใจของเรา
(สดด.13:6 “…6ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงกระทำแก่ข้าพเจ้าอย่างดี…” และ สดด.33:1“…1ข้าแต่ท่านผู้ชอบธรรม จงเปรมปรีดิ์ในพระเจ้า การสรรเสริญนั้นควรแก่คนเที่ยงธรรม…” และสดด.104:33 “…33ข้ามีชีวิตอยู่ตราบใด ข้าจะร้องเพลงถวายพระเจ้า ขณะข้ายังเป็นอยู่ ข้าจะร้องเพลงสดุดีถวายพระเจ้าของข้า…” )
คนที่จะเป็นคนชมจริง ๆ คือพระเจ้าของเราซึ่งพระวจนะได้กล่าวไว้ว่า พระองค์จะแสวงหาคนที่นมัสการพระองค์ ด้วยใจจริง นี่ก็แสดงว่าในเวลานมัสการนั้น มีทั้งคนที่นมัสการด้วยใจริงและคนที่มีแต่ท่าทีนั่งชม คำว่าแสวงหา นั่นก็หมายถึงว่าต้องหา หรือหายากสำหรับคนที่นมัสการจริง ขอให้พระเจ้าทรงช่วยเหลือเราที่จะสำรวจท่าทีและเปลี่ยนท่าทีของเราเสียใหม่ในการนมัสการพระเจ้าด้วยใจจริง
4. จากท่าที “สบาย” มาเป็น “สงคราม”
ทุกคนมักจะมีท่าทีชอบความสบายไม่ชอบลำบากและ มีผู้รับใช้คนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า “ความยากลำบากไม่เคยทำให้ใครตาย แต่ความสบายนั้นต่างหากทำให้คนตายได้” นั่นก็เป็นจริงสำหรับชีวิตคริสเตียน เพราะความยากลำบากเกิดขึ้นกับเรา ก็ทำให้เราแสวงหาคร่ำครวญอธิษฐานต่อพระเจ้าในการช่วยเหลือ แต่พอสบายเราก็จะห่างเหินจากพระเจ้าทันที ชีวิตคต.นั้นต้องตระหนักถึงว่าเรากำลังอยู่ในช่วงสงครามฝ่ายวิญญาณ เราคือเอเย่น หรือตัวแทนของพระเจ้าที่ต้องทำงานหนักแย่งชิงดวงวิญญาณมนุษย์กลับคืนอาณาจักรของพระเจ้านำความรอดมอบให้แก่พวกเขา สร้างเสริมนำพาชีวิตพวกเขาให้ห่างจากประตูนรก (อฟ.6:12)
สรุป
ดังที่อ.เปาโลได้วิงวอนและขอร้องพวกเราผู้เชื่อทุกคน กล่าวว่า “ให้เราทั้งหลายดำเนินชีวิตให้สมกับการทรงเรียกของพระเจ้า” ดังที่กล่าวมาทั้ง 4 ข้อคือขอให้เรายอมเปลี่ยนแปลงท่าทีเหล่านี้ เพื่อจะเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์ เพื่อเสริมสร้างให้คริสตจักรเจริญขึ้น และเป็นที่ชอบพอพระทัยของพระเจ้าร่วมกัน อาเมน