ข้อพระคัมภีร์หลัก​     มาระโก 9:14-29

ในพระธรรม มาระโก 9:14-29 ที่กล่าวถึงนี้เป็นเรื่องราว การรักษาเด็กที่มีผีโสโครก ขณะนั้ันมีชายคนหนึ่งได้พาบุตรชายคนเดียวของเขามาหาพระเยซู เพื่อให้พระเยซูทรงขับผีที่สิงที่อยู่ในเด็กนั้นเป็นเวลานานแล้ว ตั้งแต่เล็กๆให้ออกไป แต่เวลานั้นพระเยซูกับสาวกคนสนิทอีกสามคนไม่อยู่ และยังไม่กลับมาจากการที่พระเจ้าได้ทรงให้พระเยซูจำแลงพระกายของพระองค์เอง ให้สาวกสามคนได้เห็น สาวกที่เหลืออีกเก้าคนที่เหลือจึงต้องทำหน้าที่ขับผีให้เด็กคนนั้นแทน แต่พวกเขาขับไม่ออก เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างไรต่อภาพลักษณ์และพันธกิจของพระเยซูและแผนงานของพระเจ้า ในเวลานั้นมีพวกที่คอยต่อต้านพระเยซูอยู่มาก หนึ่งในพวกนั้นได้แก่พวกฟารีสี ที่กำลังหาเรื่อง ที่จะคอยจะทำให้พระเยซูเสื่อมเสียชื่อเสียง เพื่อให้คนไม่เชื่อฟังและไม่ยอมรับพระเยซู จากเหตุการณ์นี้ พวกฟารีสีพยายามให้คนหมดศรัทธาและขาดความเชื่อในพระเยซู โดยพยายาม ตัดสินจากสิ่งที่สาวกของพระเยซูขับผีไม่สำเร็จ

(ข้อ 14-15 “…พระองค์อาจจะมาช่วยช้า  แต่ไม่เคยมาสาย…”)

แต่สุดท้ายพระเยซูทรงสำแดงให้ทุกคนเห็นว่า ฤทธิ์เดชของพระเจ้ายังทรงทำงานอยู่ แต่ที่สาวกขับผีไม่สำเร็จ เพราะพวกเขาไม่เชื่อ และไม่อธิษฐาน ปัจจุบันผู้คนก็ยังตัดสินพระเยซูผ่าน การประพฤติ การปฏิบัติตัวของเหล่าสาวก หรือผู้เชื่อเช่นเดียวกัน ดังนั้นเราจึงควรดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระเยซู และสำแดงฤทธิ์เดชของพระเจ้าให้คนที่ไม่เชื่อได้เห็น

วิญญาณชั่วร้าย มีปรากฏในพระคัมภีร์ เป็นวิญญาณที่มีอยู่จริง ในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ และทำงานร่วมกับซาตานหรือมาร เพื่อหลอกลวงมนุษย์ให้หลงเชื่อและอยู่ภายใต้อิทธิพลของมาร เช่น การทำละคร หรือเพลง ต้องมีการบวงสรวงเพื่อให้กระแสการตอบรับดีและมีคนดูหรือติดตาม ผู้คนที่หลงเชื่อและติดละครเหล่านี้ก็กำลังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของมาร เราในฐานะผู้เชื่อต้องรับสติปัญญาจากพระเจ้าเพื่อจะเอาชนะ และไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลเหล่านี้ ยังมีอิทธิพลของมารอีกหลายอย่าง ที่พยายามเข้ามาครอบงำมนุษย์ เช่น การดูดวง ดูฮวงจุ้ย การสักยันต์ตามร่างกาย เป็นต้น เราควรตัดสัมพันธ์จากสิ่งล่อลวงเหล่านี้

จากเหตุการณ์ในพระธรรม มาระโก 9:14-29 นี้ สอนอะไรกับเรา เมื่อเราลงมาที่หุบเขาด้วยกันกับพระเยซูให้ สังเกตความจริง 5 ประการของประสบการณ์ที่หุบเขากับพระเยซู

หนึ่ง ในหุบเขาเราพบฝูงชนที่เจ็บปวดที่ต้องการความช่วยเหลือ (มก.9:14-17)

ในการรับใช้ เราจะเจอผู้คนที่เจ็บปวดและรอคอยการช่วยเหลือ (มัทธิว 17:14; ลูกา 9:38)

สอง ในหุบเขาเราค้นพบว่า เรามีอะไรจะให้กับฝูงชนที่เจ็บปวดที่ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ (9.18-19)

คำถาม : พระเจ้าของคุณยัง “แผลงฤทธิ์”ได้หรือไม่? วันนี้เรายังทำให้ฤทธิ์เดชของพระเจ้าทำงานผ่านเราหรือไม่ เรามีความเชื่อ หรือขาดความเชื่อเหมือนสาวกเหล่านั้นหรือไม่

สาม ในหุบเขาเราค้นพบว่า อะไรคือความจำเป็นที่จะช่วยโลกที่เจ็บปวดได้ (9.21-22)

*ความจริงที่เราต้องเข้าใจ  ชายคนนี้ต้องการให้ช่วยแก้ปัญหาของเขา “…โปรด…ช่วยเราเถิด…” และพระเยซูต้องการให้ความเชื่อเติบโตจึงกล่าวว่า

“..ถ้าท่านเชื่อได้ ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง..“

การร้องขอ และรับด้วยความเชื่อจะทำให้ฤทธิ์เดชของพระเจ้าทำงาน

สี่ ในหุบเขาเราค้นพบว่า มีแต่พระเยซูเท่านั้นที่สามารถช่วยโลกที่เจ็บปวดได้ (9.25-27)

-ซาตานไม่ยอมแพ้หากไม่มีการต่อสู้ และ พระเยซูได้พิสูจน์ให้เห็นว่า พระองค์มีอำนาจเหนือร้ายนั้น

ห้า ในหุบเขาเราค้นพบว่า เราถูกกำหนดให้พึ่งพาพระเจ้าเป็นสรณะในการช่วยโลกที่เจ็บปวด (9.28-29)

ใน มาระโก 3.15 พระเยซูได้ประทานสิทธิอำนาจให้กับสาวกในการทำราชกิจของพระองค์  

“…15 ทรงใช้เขาไปประกาศและให้มีอำนาจรักษาโรคต่างๆและขับผีออกได้…”

*ความจริงที่เราต้องเข้าใจ คือ เมื่อสิ่งต่างๆไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง จงอธิษฐาน

เหตุผลที่ทำให้ไม่มีฤทธิ์เดช เป็นเพราะการไม่อธิษฐานนั่นเอง
(The reason for powerlessness is prayerless)

(ศศกร กลิ่นส่ง ผู้สรุปคำเทศนา)