การเก็บเกี่ยวนำคนมาถึงพระคริสต์นั้น เราควรเริ่มจากใกล้ตัวเรา และขยายวงกว้างออกไปจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก นี่คืองานที่พวกเราทุกคนได้รับมอบหมายจากพระเจ้า
พระเจ้าได้เปรียบเราเป็นเหมือนข้าว และคจ.เปรียบเป็นยุ้งฉางของพระเจ้า ซึ่งข้าวเมื่อเกี่ยวแล้วก็ต้องเก็บใส่ยุ้งฉาง บางครั้งก็ถูกเปรียบเป็นแผ่นดินสวรรค์ด้วย (มธ.3:12) บางครั้งคจ.ก็ถูกเปรียบเทียบเป็นอวน, เป็นตึก และเป็นร่างกายด้วย ให้เรามาดูคจ.ของพระเจ้าควรจะเป็นแบบไหน? เพราะไม่ใช่ทุกคจ.นั้นถูกสร้างโดยน้ำพระทัยของพระเจ้า อาจจะมาจากความาตั้งใจของมนุษย์ ซึ่งจะยกตัวอย่างมา 3 ประเภท คือ
* คจ.ประเภทแรกเป็นเหมือน สโมสร ชมรม หรือสมาคม เพราะเขาจะเลือกนั่งเป็นกลุ่ม ตามความคล้ายที่พวกเขาชอบเหมือนกัน มีทัศนคติเหมือนกัน ฐานะใกล้เคียงกัน จะแบ่งตามวัตถุนิยม แม้แต่คำเทศนาก็ยังเลือกตามความต้องการของเขาเองด้วย
(2ทธ.4:3-4 “…คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้ แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง เพื่อบรรเทาความอยาก …” ),
(2ทธ.3:5-9 “..ถือศาสนาแต่เปลือกนอก ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ คนเช่นนั้นท่านอย่าคบ...ความเชื่อของเขาใช้ไม่ได้..)
* คจ.ประเภทที่สองเป็นเหมือนศาสนสถาน จะมาร่วมก็ต่อเมื่อมีศาสนพิธีขึ้นและยังแบ่งย่อยได้อีก คือทั้งชีวิตก็จะโบสถ์ได้แค่ 3 งาน ได้แก่ วันเกิด(ถวายบุตร), แต่ง(ทำพันธสัญญา), ตาย(มีคนแบกมา) อีกแบบหนึ่งดีขึ้นมาหน่อยคือมาตามเทศกาล เช่นวันขอบพระคุณพระเจ้า วันคริสตมาส งานเฉลิมฉลองพิเศษ ส่วนแบบที่สามดีขึ้นมาอีกหน่อยแต่ก็ยังไม่ถึงที่สุด คือ มานมัสการพระเจ้าเมื่อมีโอกาส หรือเมื่อสะดวก เมื่อมีปัญหา หรือถูกบังคับให้มา พวกเขาจะนมัสการแบบไร้วิญญาณ คำเทศนาฟังแล้วก็ไม่เข้าไปจิตวิญญาณ หรือฟังเทศน์ก็คุยกัน (เปรียบเหมือนมารจิกเอาพระวจนะไป)
* คจ.ประเภทที่สามเป็นของพระเจ้า แต่ขึ้นอยู่กับรากฐานการสร้างคจ. ซึ่งมีอยู่หลายแบบ ใน ฟป.1:15-18 อ.เปาโลกล่าวถึง คนที่ประกาศข่าวประเสริฐแบบท่าทีมีริษยา แบบหวังดี แบบทะเลาะกัน ทำด้วยใจรัก ทำแบบแข่งกัน บ้างก็ด้วยใจสุจริต ดังนั้นพื้นฐานทางจิตใจของคนที่ก่อตั้งคจ.และการเจริญเติบโตของคจนั้นจึงเป็นรากฐานที่สำคัญ
ใน 1 คร.3:10-15 “….ถ้าการงานของผู้ใดถูกเผาไหม้ไป ผู้นั้นก็จะขาดค่าตอบแทน แต่ตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ”
สิ่งสำคัญอยู่ที่ตัวผู้รับใช้ที่ก่อตั้งนั้นได้มีรากฐานจิตใจเป็นอย่างไรเวลาจะพิสูจน์คนนั้น และคจ.นั้น
ตัวอย่าง คจ.ทั้งเจ็ด ในพระธรรมวิวรณ์บทที่2 พระเยซูคริสต์ตรัสถึง ซึ่งก็เป็นคจ.ที่อ.เปาโลและอัครสาวกเป็นผู้ก่อตั้งขึ้น แต่ผู้ที่ดูแลประสานต่อนั้นก็ทำให้มีปัญหา ดังนี้ คจ.เอเฟซัสมีปัญหาคือ พวกเขาได้ละทิ้งความรักดั้งเดิมที่มีต่อพระเจ้า (2:1-7) คจ.เสมอร์น่าไม่มีปัญหา เขาไม่ถูกต่อว่าแต่สั่งให้อดทนถึงที่สุดสัญญาว่าจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต (2:8-11) คจ.เปอร์กามัมมีปัญหาคือ บางคนเชื่อฟังพระอื่น มีการแนะนำให้ทำผิดบาปต่อพระเจ้า (2:12-17) คจ.ธิยาทิรามีปัญหาคือ พวกเขาเชื่อฟังเยเซเบล ทำให้ล่วงประเวณี ฟังเสียงผู้คนที่อ้างว่าพระเจ้าตรัสว่า และนำพาให้หลงทางจากพระเจ้า (2:18-28) คจ.เมืองซาร์ดิสมีปัญหาคือ เป็นเหมือนคจ.ที่ตายแล้ว ไม่พบความประพฤติที่ดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า จงกลับใจเสียใหม่ (3:1-6) คจ.เมืองฟีลาเดลเฟียไม่มีปัญหาแต่ได้รับการหนุนใจให้อดทน และจะปกป้องคจ.ให้พ้นจากการทดลองใจ (3:7-13) คจ.เลาดีเซียมีปัญหาคือ เป็นคจ.ที่อุ่น ๆ ไม่เย็นและไม่ร้อน พระองค์จะคายเขาออก (3:14-22)
คจ.ทั้งเจ็ดนี้ก็ยังดีกว่าคจ.ทั้ง 2 แบบที่ได้กล่าวข้างต้นมาแล้ว เป็นคจ.ของพระเจ้าถึงแม้ว่ายังมีข้อบกพร่อง แต่ก็ต้องเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงแก้ไข กลับใจใหม่
ใน 1คร.3:11-12 “เพราะว่าผู้ใดจะวางรากอื่นอีกไม่ได้แล้ว นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์…”
ฉะนั้นรากฐานของคจ.ต้องมาจากชุมชนที่รับพระวจนะของพระเจ้า นั่นก็คือพระเยซูคริสต์เท่านั้น ทุกคนที่เข้ามาหาพระเจ้านั่นต้องมาจากการกลับใจใหม่ มีจุดมุ่งหมายไปด้วยกันกับพระเจ้าโดยมีพระวจนะนำชีวิตเป็นพื้นฐานอย่างแท้ จริง
(อฟ.5:22-25) “ฝ่ายภรรยาจงเชื่อฟังสามี เหมือนคจ.ให้พระคริสต์เป็นศีรษะและให้พระวจนะของพระองค์เป็นรากฐาน…”
(อฟ.5:26-27) “เพื่อจะได้ทรงทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์ โดยการทรงชำระด้วยน้ำและพระวจนะ 27 เพื่อพระองค์จะได้มีคริสตจักรที่มีสง่าราศี ไม่มีตำหนิริ้วรอย หรือมลทินใดๆเลย แต่บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ”
สุดท้ายขอให้พวกเราทุกคนเป็นชุมชนของพระเจ้าที่มีรากฐานอย่างมั่นคงในการมี พระคริสต์นำชีวิตอย่างแท้จริง เพื่อเราจะได้เป็นยุ้งฉางของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ไร้ตำหนิ และพระเจ้าทรงพอพระทัย อาเมน.