มัทธิว 24:32-35

พระเจ้าทรงสอนให้คนของพระองค์เป็นคนช่างสังเกตเป็นคนพินิจพิเคราะห์ มองอะไรให้แตกต่างจากคนทั่วไปเช่น ต้นมะเดื่อเมื่อใบแตกออกบอกถึงฤดูร้อนจะมาถึงแล้วหรือจากมดในสภษ.6:6-8 สำหรับผู้ที่ขี้เกียจให้มองดูมด หรือ สดด.73:17  จนข้าพระองค์เข้าไปในสถานนมัสการของพระเจ้า  แล้วข้าพระองค์จึงพิเคราะห์เห็นปลายทางของเขาทั้งหลาย   สอนชายคนหนึ่งที่เห็นว่าคนที่ไม่มีพระเจ้ารวยและสบายแต่พระเจ้าให้ดูบั้นปลายชีวิตของเขาโดยที่เราจะมองดูคนๆหนึ่งเราจะดูเพียงบางตอนไม่ได้เราต้องมองถึงบั้นปลายชีวิตเช่นตัวอย่างของคนในพระคัมภีร์ ซาอูล ดาวิด ซามูเอล ฯลฯ  พระเจ้าสอนให้เราดูจาก กฎของการหว่านพืชลงในดิน 4 ชนิด มธ.13:3-8 แล้วพระองค์ก็ตรัสกับเขาหลายประการเป็นคำอุปมา   เป็นต้นว่า

“ดูเถิด  มีคนหนึ่งออกไปหว่านพืช 4และเมื่อเขาหว่าน   เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง   แล้วนกก็มากินเสีย 5บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน   มีเนื้อดินแต่น้อย   จึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก 6แต่เมื่อแดดจัดแดดก็แผดเผา   เพราะรากไม่มีจึงเหี่ยวไป 7บ้างก็ตกกลางต้นหนาม   ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย 8บ้างก็ตกที่ดินดี   แล้วเกิดผลร้อยเท่าบ้าง   หกสิบเท่าบ้าง   สามสิบเท่าบ้าง”

มก.12:41-44 พระเยซูได้เสด็จประทับตรงหน้าตู้เก็บเงินถวาย   ทรงสังเกตประชาชนเอาเงินมาใส่ไว้ในตู้นั้น   และคนมั่งมีหลายคนเอาเงินมากมาใส่ในที่นั้นมีหญิงม่ายคนหนึ่งเป็นคนจนเอาเหรียญทองแดงสองอัน   มีค่าประมาณสลึงหนึ่งมาใส่ไว้ พระองค์จึงทรงเรียกเหล่าสาวกมาตรัสแก่เขาว่า

“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า   หญิงม่ายจนคนนี้ได้ใส่ไว้ในตู้เก็บเงินถวายมากกว่าคนทั้งปวงที่ใส่ไว้นั้น เพราะว่าคนทั้งปวงนั้นได้เอาเงินเหลือใช้ของเขามาใส่ไว้   แต่ผู้หญิงนี้ขัดสนที่สุด   ยังได้เอาเงินที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตของตนมาใส่จนหมด”

พระเยซูทรงนั่งในพระวิหารสังเกตคนที่ถวายทรัพย์ ผู้ที่เป็นนักสังเกต และมองอย่างพินิจพิเคราะห์จะฉลาดพระองค์ทรงสอนคนของพระองค์ให้ใช้สมองในการดำเนินชีวิตและยังสอนให้สังเกตจากธรรมชาติใน มธ 24:1-2 ฝ่ายพระเยซูทรงออกจากบริเวณพระวิหาร   แล้วขณะเสด็จไป   พวกสาวกของพระองค์มาชี้ตึกทั้งหลาย   ในบริเวณพระวิหารให้พระองค์ทอดพระเนตร พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า   “สิ่งสารพัดเหล่านี้พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือ   เราบอกความจริงแก่ท่านว่า   ศิลาที่ซ้อนทับกันอยู่ที่นี่   ซึ่งจะไม่ถูกทำลายลงก็ไม่มี” และพระเยซูสอนให้รู้ว่าจะมีภัยพิบัติจะเกิดขึ้น พระเยซูไม่ได้ตอบสาวกตรงๆแต่พระองค์ให้สังเกตสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น

สงคราม  เมื่อก่อนไม่เกิดขึ้นบ่อยเท่ากับปัจจุบันนี้

กันดานอาหาร  เพราะการไม่เกิดผลตามฤดูกาล

แผ่นดินไหว มีการเกิดขึ้นทุกๆวันทุกๆชั่วโมง

โรคระบาด มีโรคแปลกๆใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวัน

การเดินทางติดต่อสื่อสาร

วิชาการความรู้เทคโนโลยี ก้าวไกล

ความชั่วทวีมากขึ้น

พระเยซูทรงสอนให้สังเกตเหตุการณ์ต่างๆ ในข้อ  33-34  เช่นนั้นแหละ   เมื่อท่านทั้งหลายเห็นบรรดาสิ่งเหล่านั้นก็ให้รู้ว่า   พระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า   คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนสิ่งทั้งปวงนั้นบังเกิดขึ้น เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า   คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนสิ่งทั้งปวงนั้นบังเกิดขึ้น  ทำให้รู้ว่าพระเยซูใกล้จะมาแล้ว เราอยู่ในยุคปลายสุดท้ายเวลาที่เราต้องเผชิญเช่นเดียวกับสมัยของโนอาห์ทุกอย่างดูเหมือนปกติ แต่พระคัมภีร์บอกเกิดขึ้นแน่ เราทั้งหลายต้องเรียนรู้และสังเกต เพื่อเราจะได้เตรียมตัวอยู่เสมอเมื่อเวลาพบกับพระเจ้าจะได้ไม่มีข้อแก้ตัวพระเยซูเตือนให้เราเรียนรู้จากต้นมะเดื่อ ด้วยการอ่านพระคัมภีร์และยืนหยัดอยู่ได้เมื่อเจอสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้ไกลตัวใกล้ตัวเรา

ขอให้คนของพระใช้สติปัญญารู้ว่าใกล้เวลาแล้วไม่มัวหมกมุ่นกับของในโลกนี้ พระเจ้าสอนให้พินิจพิเคราะห์ฝ่ายวิญญาณ คต.ควรฉลาดและรู้เวลายุคสุดท้ายอย่าหลงในโลกนี้ ยุคนี้มีการประกาศมากและใช้สื่อมากที่สุดอดทนให้ถึงที่สุดด้วยพระคำของพระเจ้าชีวิตที่มีพระคำเท่านั้นที่ยืนหยัดได้ฟ้าและดินจะล่วงไปแต่พระคำเท่านั้นที่ไม่สูญไป…ขอพระเจ้าอวยพร