ข้อพระคัมภีร์หลัก ฮีบรู 11:22

          “ เพราะโยเซฟมีความเชื่อเมื่อกำลังจะตาย จึงได้กล่าวถึงการอพยพของชาวอิสราเอล และ   สั่งเรื่องกระดูกของท่าน”

            เราได้ยินรูปแบบต่างๆ ของความเชื่อในแต่ละคน ตั้งแต่ อาแบล โนอาห์ อับราฮัม อิสอัค และ ยาโคบ ในพระคัมภีร์ ซึ่งฤทธิ์เดชของความเชื่อได้กล่าวไว้ว่า

ความเชื่อ  คือ   การยอมรับในสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้

ความเชื่อ  คือ   ต้องยอมรับด้วยสมองและจิตใจ

ความเชื่อ  คือ   การไม่หวั่นไหวไม่ว่าสถานการณ์ภายนอกจะดีหรือร้าย

ความเชื่อ  คือ   สามารถเปลี่ยนความคิดให้ออกมาเป็นวิถีการดำเนินชีวิต

เปลี่ยนหลักข้อเชื่อ ออกมาเป็นบุคลิกภาพ เปลี่ยนภาคทฤษฎีให้เป็นภาคปฏิบัติ

ความเชื่อ  คือ   การมีใจปรารถนาในทุกอย่างเป็นไปตามพระสัญญานิรันดร์

ปฐมกาล 41:46-57 โยเซฟถูกขายไปเป็นทาส ตั้งแต่อายุ 17 ปี จนวันที่ได้เข้าเฝ้าฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์นั้น ท่านอายุได้ 30 ปี ซึ่งโยเซฟอยู่อย่างลำบากเป็นเวลา 13 ปี  ปฐมกาล 41:37-45 โยเซฟ ได้เป็นใหญ่ในประเทศอียิปต์ ดูแลราชสำนักและประชาชนทั้งหมดแทนฟาโรห์ สิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสกับโยเซฟเป็นจริงทุกอย่าง โยเซฟได้เห็นพระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริงในชีวิต  ปฐมกาล 45:1-3, ปฐมกาล 50:15-20 โยเซฟเรียนรู้จากชีวิต แม้เจอเรื่องร้ายแค่ไหน ก็ไม่ขมขื่น ไม่โทษสิ่งแวดล้อม  เป็นคุณสมบัติ ที่เราต้องมีหากอยากเดินในพระสัญญาอย่างมั่นคง ความเชื่อที่มั่นคงในพระสัญญาของพระเจ้า เป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า

สิ่งที่เราสามารถเรียนรู้จากชีวิตของโยเซฟ

  1. ความเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า

โรม 4:20 ท่านมิได้หวั่นไหว แคลงใจในพระสัญญาของพระเจ้า แต่ท่านมีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น จึงถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่รักษาสัญญา กันดารวิถี 23:19 พระเจ้ามิใช่มนุษย์จึงมิได้มุสา และมิได้เป็นบุตรของมนุษย์จึงไม่ต้องกลับใจ ที่พระองค์ตรัสไปแล้ว พระองค์ก็จะมิทรงกระทำตามหรือ ที่พระองค์ทรงลั่นวาจาแล้ว จะไม่ทรงกระทำให้สำเร็จหรือ ความเชื่อเป็นพลังที่เปลี่ยนพระสัญญาให้กลายเป็นจริง

มัทธิว 8:5-13 พระองค์ทรงรักษาบ่าวของนายร้อย  นายร้อยได้พูดว่า  “ขอเพียงพระองค์ตรัสเท่านั้น บ่าวของข้าพระองค์ก็จะหายโรค”

มัทธิว 8 :10  ครั้นพระเยซูได้ยินดังนั้น ก็ประหลาดพระทัยนัก ตรัสกับบรรดาคนที่ตามพระองค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่เคยพบศรัทธาที่ไหนมากเท่านี้แม้ในอิสราเอล”

พระเยซูทรงเรียกร้องความเชื่อ เชื่อในพระสัญญา  โยเซฟมีความเจริญมั่งคั่ง  อยู่ในชีวิตที่สะดวกสบาย  อยู่ในอำนาจ  อยู่ในการนับถือ มีชื่อเสียงมากในประเทศอียิปต์ ดูได้จากยาโคบเสียชีวิต ปฐมกาล 50 โยเซฟไม่ได้มีจิตใจที่มองอยู่ที่ความรุ่งเรือง ความมั่งคั่ง สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ทำให้โยเซฟลืมพระสัญญาของพระเจ้า  ยังคงรักษาถ้อยคำของพระเจ้าจนสิ้นลมหายใจ

  1. โยเซฟมีความเชื่อที่มีความไว้วางใจ ฮีบรู 11:22

การไว้วางใจ คือการพึ่งพาอาศัยอยู่บนความซื่อสัตย์ หรือมิตรภาพของอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อเราไว้ใจใคร เรามีความมั่นใจ และไว้วางใจในบุคคลนั้น การไว้วางใจเป็นความมั่นใจในบุคคลลักษณะของคนที่เป็นที่พึ่งของเราโดยไม่ต้องเพียรพยายามอะไร ความเชื่อที่แท้จริงจะออกมาเป็นการไว้วางใจเต็มที่ ในความสัมพันธ์กับพระเจ้าก็เช่นกัน จิตวิญญาณของเราพึ่งพาอยู่ในความรัก ความไว้วางใจ ฤทธิ์อำนาจ และความมั่นใจอย่างปลอดโปร่งในพระลักษณะอันกอปรด้วยคุณธรรมของพระองค์  ฮีบรู 10:23ขอให้เรายังคงยึดมั่นในความหวังที่ประกาศรับไว้นั้นโดยไม่หวั่นไหว เพราะพระองค์ผู้ประทานพระสัญญานั้นทรงซื่อสัตย์   การไว้วางใจในพระเจ้า จะทำให้เราไม่หวั่นไหวต่อปัญญา การทุกข์ยาก และสิ่งที่เราเผชิญอยู่  หรือการไม่มีคำตอบในชีวิต เมื่อพระเจ้าทรงสัญญาสิ่งใด พระองค์ทำตามนั้น สดุดี 91 พระเจ้า เราไว้วางใจในความซื่อสัตย์ของพระองค์ ความสัตย์สุจริตของพระองค์เป็นโล่และเป็นดั้ง หมายความว่าความซื่อสัตย์ของพระองค์นั้นปกป้องเรา  ดูแลเรา ไม่เพียงแต่เชื่อมั่น ระลึกถึงพระสัญญาของพระเจ้า เราไว้วางใจรึเปล่า เราไว้วางใจในพระเจ้าแค่ไหน เราวางใจในพระสัญญาของพระเจ้าจริงหรือเปล่า   ทุกเรื่องมีบทพิสูจน์ ซึ่งบทพิสูจน์จะบอกเราว่าเราไว้วางใจพระเจ้าแค่ไหน เราก้าวเข้าไปในพระสัญญาของพระเจ้าแค่ไหน เมื่อเจอปัญหา บางคนถึงกับเลิกเชื่อ บางคนถดถอยลง ท่าทีการตอบสนองต่อพระเจ้า เมื่อเราเผชิญกับปัญหา  พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อเป็นพระเจ้าที่เราไว้วางใจได้ตลอดชีวิต  มาระโก 11:22 พระเยซูตรัสตอบเหล่าสาวกว่า “จงเชื่อใพระเจ้าเถิด” สิ่งที่พระเยซูกล่าวกับเหล่าสาวกตลอดเวลา คือ จงเชื่อในพระเจ้าเถิด การเชื่อในพระเจ้าเป็นกุญแจหลักในการเดินกับพระเจ้าตลอดชีวิตของเรา  เป็นกุญแจหลักในการที่เราเองจะการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องกับพระเจ้า และส่งต่อชีวิตที่ถูกต้องต่อคนรอบข้าง ลูกหลาน ของเราสืบไป

พระเจ้าทรงอวยพระพรค่ะ