“…ท่านทั้งหลายว่า อีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวมิใช่หรือ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาเหลืองอร่าม ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว….” ยอห์น 4:35-42
เนื่องจากช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่ดีสำหรับมนุษย์ทั้งหลายที่ยังไม่รู้จักกับพระเจ้าที่เที่ยงแท้ เพราะคนเริ่มผิดหวังจากศาสนาหรือสิ่งที่เขายึดถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่สามารถช่วยเขาให้พ้นทุกข์ได้ หรือนำพาให้เขามีความสุขอย่างแท้จริงได้ พวกเขาเริ่มไม่แน่ใจกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นไม่ว่าด้านภัยพิบัติ การเมือง การเงิน ฯ พวกเขาจึงเริ่มแสวงหาที่พึ่งพาใหม่ ๆ ได้มีสถิติบันทึกไว้เกี่ยวกับการกลับใจมาเชื่อพระเยซูคริสต์ 10 ปีที่ผ่านไปประมาณ 75,000คนต่อวัน ภายในปี 2000 มีมากกว่าสองแสนคนทั่วโลกต่อวัน ที่ประเทศจีนมี 35,000 คนต่อวัน ที่แอฟริกาอย่างน้อย 25,000 คนต่อวัน และมีการคาดหมายว่าภายในปี 2000 จะมีคนมาเชื่อพระเจ้ากว่าครึ่งทวีป ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเมื่อระบบคอมมิวนิสต์ได้สลายไป ประเทศรัสเซียก็ได้รับโอกาสในการกลับใจใหม่ในการเชื่อพระเยซูคริสต์เป็นจำนวนมาก มีมิชชั่นนารีเดินทางไปที่นั่นเป็นจำนวนมากเพื่อประกาศข่าวประเสริฐที่นั่น
สำหรับประเทศไทยในเวลานี้ก็ถึงเวลาแล้วเช่นกันในการเก็บเกี่ยวจิตวิญญาณที่ไร้ทิศทาง ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน พวกเราทุกคนจึงต้องออกไปประกาศ และเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณเหล่านั้นมอบให้พระเจ้า โดยไม่ต้องคำนึงถึงความพร้อมของตัวเองในด้านความรู้ในพระคัมภีร์ว่ายังเรียนไม่จบวิชาประกาศ หรือคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อม ครอบครัวยังไม่เชื่อ ฐานะยังไม่ดี หน้าที่การงานยังบกพร่อง รอไปก่อน ขอพระเจ้าทรงช่วยพวกเราทุกคนที่จะปรับเปลี่ยนความคิดเหล่านี้ออกไปจากสมอง แล้วลุกขึ้นและกล้าที่จะออกไป ให้ดูตัวอย่างพระเยซูคริสต์ในยอห์น 4 ขณะที่สาวกหิวและออกไปซื้ออาหาร พระเยซูทรงพูดคุยกับหญิงชาวสะมาเรียซึ่งดูแล้วยิ่งไม่เหมาะสมที่จะพูดคุยกับนาง สาวกเองก็คิดเช่นนั้น แต่พระองค์ทรงตรัสกับสาวกว่า “เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด” ซึ่งมีความหมายว่า ให้เราดำเนินชีวิตเลิกที่จะก้มหน้าสนใจแต่ตัวเอง แต่เงยหน้าขึ้นดูคนอื่นบ้าง
ในการดำเนินชีวิตของคริสเตียนนั้นมีอยู่ 4 ประเภท ประเภทแรกเหมือนมิสซีสเจน ไวท์ ซึ่งสามีเธอเป็นนักเทศน์ ได้ตายจากเธอไปนานเป็นสิบปี เธอก็ยังเศร้าโศก และยิ่งในสถานการณ์บ้านเมืองแย่ลง สังคมตกต่ำเธอยิ่งรู้สึกอยากตายไปอยู่กับพระเจ้าเร็ว ๆ วันหนึ่งเธอได้ไปทานอาหารเย็นในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง ก็มีชายคนหนึ่งมานั่งข้าง ๆ เธอและสัมผัสได้ว่าเธอมีชีวิตที่เศร้าเหลือเกิน เขาได้ถามเธอว่า “คุณกำลังมีเรื่องวิตกกังวลอะไรมากที่สุดครับ” เธอตอบว่า “ฉันกำลังเตรียมตัวตาย” ชายนั้นก็ตกใจและถามกลับไปว่า “ทำไมคุณไม่เตรียมที่จะมีชีวิตอยู่ละครับ” ประโยคนี้แหละที่ทำให้เธอคิดได้ว่า พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะให้เธอยังมีชีวิตอยู่อีกเพื่อไปแตะต้องชีวิตคนอื่นอีกเป็นจำนวนมาก ภายในปีนั้นที่เธอกลับใจ เธอได้เดินทางไปกับทีมที่กรุงเจนีวาเพื่อประกาศ และแตะต้องใจผู้คนเป็นจำนวนมาก ขอพระเจ้าช่วยให้เราเหมือนมิสซีสเจน ไวท์ที่จะกลับใจและนำคนกลับมาหาพระเจ้า
ประเภทที่ 2 คนที่ชอบมองดูแต่ตัวเอง ไม่ว่าเรื่องงาน เรื่องครอบครัว เรื่องชีวิต เห็นตัวเองเป็นศูนย์กลาง เรียกง่าย ๆ ว่า “เห็นแก่ตัว” คนประเภทนี้ควรเงยหน้าหันไปมองคนอื่นบ้าง สนใจคนที่อยู่ข้าง ๆ เรา หรือคนรอบข้างบ้าง เพื่อนบ้าน เพื่อร่วมงาน อย่ามัวมองแต่ตัวเองอีกเลย
(ฮก.1:9 “…ต่างก็สาละวนอยู่กับเรื่องบ้านของตน)
ตย. อ.จอย มิชชั่นนารี่คนหนึ่ง เธอตั้งใจว่าจะนั่งแท็กซี่ ทั้ง ๆ ที่เธอขับรถได้ เพื่อใช้โอกาสในเวลานั้น ๆ กับการประกาศข่าวประเสริฐให้กับคนขับแท็กซี่ทุกคนที่เธอนั่งไปด้วย หรือคุณศรีมาลา เธอตั้งเป้าและสามารถเชิญเจ้านายมาร่วมงานวันคริสตมาสได้
ประเภทที่ 3 เป็นประเภทที่คิดว่าตัวเป็นคนโฮลี่ ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับใคร เพราะกลัวสูญเสียความชอบธรรม เพราะคิดว่าคนอื่นนั้นเป็นชาวโลก ไม่บริสุทธิ์ เดี๋ยวความบริสุทธิ์ของตนจะจางหายไป ขออยู่คนเดียว
ประเภทที่ 4 คือคนที่ดำเนินชีวิตตามพระมหาบัญชาของพระองค์อย่างแท้จริง เช่น ผู้รับใช้ที่ชื่อ จอห์น ฮาเปอร์ ชาวสก็อตแลนด์ จะเดินทางไปประกาศที่คจ.ของมูดดี้ ในชิคคาโก โดยทางเรือข้ามสมุทรแอตแลนติค ในขณะเดินทาง เรือก็ชนกับน้ำแข็ง ซึ่งกำลังอัปปางจมลงนั้น ห่วงชูชีพก็ไม่พอสำหรับทุกคน ต่างก็พยายามดิ้นรน ว่ายน้ำในน้ำซึ่งเย็นเกือบเป็นน้ำแข็ง ส่วนจอห์นนั้นก็ว่ายน้ำเหมือนกันแต่ก็ว่ายน้ำไปหาทุก ๆ คนและบอกกับทุก ๆคนว่า “คุณเชื่อพระเยซูหรือยัง คุณต้อนรับพระเยซูหรือยัง” เขาว่ายน้ำบอกทุกคนจนกระทั่งคนสุดท้าย ที่รอยคอเกาะเศษเรือ จอห์น ฮาเปอร์ก็บอกกับชายคนนั้นว่า “วางใจในพระเยซูสิ” แล้วก่อนที่เขาจะค่อย ๆ จมลงเขาก็ตะโกนบอกกับชายคนนั้นอีกว่า “เชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้าสิ ท่านจะรอด” แล้วเขาก็ค่อย ๆ จมลงไป เพราะประโยคนี้แหละได้ทำให้ชายคนนี้รอด หลังจากนั้นเขาก็ออกมาเป็นพยานหลังคนรอดชีวิตมารวมตัวกันว่า เขาได้รอดชีวิตถึง 2 ครั้งจาก ถ้อยคำที่ จอห์น ฮาเปอร์พูดว่า “เชื่อพระเยซูคริสต์ แล้วท่านจะรอด” ครั้งที่ 2 คือ พระเจ้าทรงช่วยกู้เขาขึ้นมาได้ขณะที่เขากำลังจมดิ่งลงไปในน้ำ จอห์น ฮาเปอร์ เสียสละชีวิตของตนเองเพื่อคนอื่นจะได้รับความรอด การรับใช้พระเจ้า เราต้องจ่ายราคาเหมือนจอห์น ฮาเปอร์ ใช้ชีวิตตัวเองเพื่อแลกกับความรอดของดวงวิญญาณของผู้อื่น
ทุ่งนาเหลืองอร่ามแล้ว จิตใจของผู้คนในเวลานี้พร้อมที่จะเปิดรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ขอพระเจ้าทรงช่วยพวกเราทุก ๆ คนที่จะดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟังพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์ (มธ.28:18-20) ออกไปประกาศข่าวดีแก่ผู้คนทั้งหลายในประเทศไทยเพื่อให้ได้รับความรอด ประเทศไทยเป็นของพระเจ้า จงอย่ามองแต่ปัญหาของตัวเอง แต่จงเงยหน้ามองคนอื่นและนำข่าวดีของพระคริสต์มอบให้แก่พวกเขาในทุก ๆ วิถีทาง ที่จะทำให้พวกเขาได้ยินเรื่องราวของพระคริสต์ พระเจ้าทรงอยู่ และจะทำงานร่วมกับท่านเสมอ อาเมน