มีวันหนึ่งข้าพเจ้าอธิษฐานใคร่ครวญกับพระเจ้าในเรื่องคริสตจักร คิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับสมาชิก คนมานมัสการก็เริ่มล่อยหลอ
“พระเจ้าบอกว่า พระองค์กำลัง ชำระยุ้งฉาง เพื่อจะนำข้าวใหม่เข้ามา”
ชาวนาเมื่อถึงฤดูใกล้จะหว่าน เขาจะเก็บข้าวพันธุ์ที่เก็บเตรียมไว้ ภายหลังหว่านไปแล้วใกล้จะถึงฤดูเก็บเกี่ยว เขาจะทำความสะอาดยุ้งฉาง เก็บกวาดข้าวที่ไม่ดีเป็นเชื้อรา ความชื้นออกไป ซ่อมยุ้งฉาง ที่รั่ว ในเวลานั้นข้าวก็แทบไม่เหลือแล้ว เพื่อเตรียมยุ้งฉางสำหรับข้าวใหมที่จะนำเข้ามา ที่มีอยู่ก็จะเป็นข้าวพันธุ์ ต้องเป็นข้าวดี ที่ไม่ลีบ เมล็ดสมบูรณ์ เมื่อเมล็ดไปหว่านหนึ่งเม็ด ได้หนึ่งต้น และหนึ่งต้นนำไปปลูกก็จะได้หนึ่งกอ เห็นไหมว่ามันเกิดผลกี่เท่า วันนี้ใครจะเป็นเมล็ดข้าวดี หรือเมล็ดข้าวลีบ
ในช่วงที่ผ่านมามีคนที่ต้องจากไปหลายคน ไม่ว่าอายุมากหรือน้อย ทุกรุ่นมีโอกาส ชีวิตมันสั้น “เป็นเหมือนหมอกที่ปรากฎอยู่ชั่วครู่” และที่สำคัญ วันเวลาของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ “เวลาที่เราจะรอดนั้นใกล้กว่าเวลาที่เราเริ่มเชื่อ” เราไม่ควรละเลยต่อคำเตือนในพระคัมภีร์ ระวังจะเป็นเหมือนสมัยของโนอาห์
มธ.๒๔.๓๗-๓๙ “ในสมัยของนอาห์เป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์ก็เป็นอย่างนั้น เพราะในวันเวลาก่อนน้ำท่วมโลก ผู้คนกินดื่ม แต่งงานและยกให้แป็นสามีภรรยากันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าในเรือ พวกเขาไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นจนถูกน้ำท่วมกวาดล้างไปหมด เมื่อบุตรมาก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ”
ขอถามว่าพวกเขารู้ไหม? ว่าน้ำจะท่วมโลก พวกเขารู้เพราะโนอาห์ประกาศ แต่เขาไม่ใส่ใจ เพราะเขาก็เห็นทุกสิ่งปกติดี ยังทำงาน กินดื่ม นอนหลับ มีงานฉลอง มีการแต่งงาน บรรยากาศเปรียบเหมือน ซึนามิ ที่ภูเก็ต เขาดำเนินชีวิตปกติ บางคนฉลองคืนวันคริสตมาสอย่างสนุกสนานทั้งคืนยังไม่ตื่น บางคนก็ออกไปเล่นน้ำ นั่งทานอาหารเช้า จิบกาแฟ เดินเล่นที่ชายหาด คลื่นมาพริบตาเดียว กวาดคนไปเป็นพัน เป็นหมื่น นั้นคือวันของพระเจ้าซึ่งเราต้องระวังอยู่เสมอ สิ่งที่พระเยซูเตือนให้เราระวัง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันของเราอีกประการหนึ่งก็คือ
- เกี่ยวกับความเชื่อ หลายคนจะหันเหจากความเชื่อ ไม่ได้ละทิ้งความเชื่อ แต่ความเชื่อจะเปลี่ยนไป
2ทธ.3:5 “ยึดทางพระเจ้าเพียงเปลือกนอก แต่กลับปฏิเสธฤทิ์อำนาจของพระเจ้า….”
แรกๆ เขาก็มาเชื่อพระเจ้าดีๆ เพราะเขาตั้งใจเชื่อฟัง ทำตามกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ถ่อมใจเพราะมีปัญหาและความยากลำบากมาก เจ็บป่วย พอพระเจ้ารักษาและอวยพร เขากลับติดยึดอยู่กับพระพร และเริ่มผยองขึ้นเริ่มหันเห การเชื่อฟังก็เฉพาะในสิ่งที่จะเป็นผลประโยชน์ที่เป็นพระพรสำหรับตัวเอง แต่ก่อนเราเป็นอย่างไร และเดี๋ยวนี้เราเป็นอย่างไร ความเชื่อของเราเริ่มจะหันเหไปหรือเปล่า ตย.ที่ดี คือคริสตจักร “ เปอร์กามัม”
วว.2:13-15 “’เรารู้จักที่อยู่ของเจ้า ที่ซึ่งเป็นบัลลังก์ของซาตาน … คือเจ้ามีบางคนที่ยึดถือคำสอนของบาลาอัมอยู่ที่นั่น ผู้ซึ่งสอนบาลาคให้วางสิ่งสะดุดต่อหน้าพวกอิสราเอล คือให้พวกเขากินอาหารที่บูชารูปเคารพและล่วงประเวณี 15เช่นเดียวกันเจ้าก็มีคนที่ยึดถือคำสอนของพวกนิโคเลาส์ด้วย”
คำแนะนำของบาลาอัมคือให้หันเหไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าที่ห้ามไม่ให้แต่งงานกับคนต่างชาติ แล้วนำเขาไปสู่การเกี่ยวข้องกับรูปเคารพ
(ฉธบ.7:3-4) “…เพราะว่าจะทำให้บุตรชายของพวกเจ้าหันเห ไปจากเราไปปฏิบัติพระอื่นๆ พระเจ้าจะทรงพระพิโรธต่อท่านทั้งหลาย และจะทรงทำลายท่านเสียโดยเร็ว”
คริสเตียนปัจจุบันกำลังหย่อนยานกับกฎนี้มาก เขาไม่เข้มงวดกับลูกหลานในการแต่งงานกับคนไม่เชื่อ และคำสอนของพวก นิโคเลาว์ “พวกนี้สอนว่าไม่ต้องเคร่งมากเดินสายกลาง ให้ปรับตัวเข้ากับโลก และให้อะลุ่มอะล่วยกับโลก” เข้าทางกับคริสเตียนปัจจุบันเลย
พระเยซูกำลังโตขึ้นทุกวันในชีวิตเราไหม?อฟ.4:13 “… จนเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่คือเต็มขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์”
ท่าทีการรับใช้ก็เริ่มเปลี่ยนไป แต่ก่อนทำด้วยความรักและชื่นชมยินดีที่มีต่อพระเจ้า อะไรก็ได้เรายินดีรับใช้ด้วยความถ่อมใจ นานๆ วันเข้า เริ่มรู้สึกเป็นภาระ ทางออกที่ดีก็คือให้โอกาสคนอื่นรับใช้ อันที่จริงเราต้องรับใช้มากขึ้น แต่กลับถอยหลัง แก่นแท้คือการดำเนินชีวิตที่จะเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันที่จะเลิกนิสัยต่าง ๆ ตอบสนองในปัญหาตามแบบพระวจนะที่สอนไว้ บางคนรับใช้นานไปเมื่อมีบทบาทมากขึ้นก็เริ่มจะติดกับเกียรติ การยอมรับ ตำแหน่ง เผลอเงินก็ตามมา ตย. ไม่เคยมีมาก่อนที่ผู้รับใช้ระดับบนจะทะเลาะกันในเรื่องตำแหน่งหน้าที่ (เงินเดือนสูง) ถึงกับขึ้นโรงขึ้นศาล จะหาคริสเตียนที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริง โดยไม่ติดกับพระพร หรือรับใช้อย่างเสียสละ โดยไม่เห็นแก่สิ่งใดนอกจากความรักที่มีต่อพระองค์นั้นอย่างเดียวนี้ ดังอ.เปาโล ใน
2คร.6:3-10 “เรามิได้ให้ผู้ใดมีเหตุสะดุดในสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เพื่อมิให้การที่เรารับใช้ปฏิบัตินั้นเป็นที่เขาจะติเตียนได้…”
ความเชื่อของคริสเตียนกำลังหันเหไปจากความจริงในพระวจนะของพระเจ้า
- เกี่ยวกับสังคม จะทรยศหักหลัง และเกลียดชังซึ่งกันและกัน เป็นความเสื่อมทรามทางสังคม ซึ่งเริ่มที่ใจ คนทรยศ คือคนที่ใจไม่ซื่อตรง คำว่า “ทรยศ” แปลว่า นอกใจ หลอกลวง อีกคำใน 2ทธ.2 ที่ใช้คำว่า อกตัญญู ในบางฉบับใช้คำว่า ทรยศเป็นความไม่สัตย์ซื่อ ไม่จริงใจ ไม่เห็นคุณค่าของสิ่งดีที่คนอื่นทำกับตน เห็นแก่ตัว คนเหล่านี้รักตัวเอง เอาใจของตนเป็นที่ตั้งจึงอันตราย (ยรม.17:9) จิตใจของคนก็เสื่อมทรามไปตามสังคม เพราะมาตรฐานของสังคมจะถูกปรับไปเรื่อยตามค่านิยมของคน และความเสื่อมทรามนี้ก็จะคืบคลานเข้ามาในคริสตจักรด้วย หากคริสเตียนไม่ระวัง และ
2ทธ.3:1- 4 ได้อธิบายลักษณะของมนุษย์ในยุคสุดท้ายไว้ “ ……..รักตนเอง รักเงิน ชอบโอ้อวด….”
ตรวจสอบใจเราดูว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่ไหม? และมันจะเป็นอาการที่ออกมาในชีวิตประจำวันของเรา เมื่อเราเผชิญปัญหาต่างๆ
อฟ.4:31 “ จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง … กับการคิดปองร้ายทุกอย่างอยู่ห่างไกลจากท่านเถิด ”
คนส่วนมากต้องการให้พระวิญญาณมาสัมผัสเพียงอารมณ์และความรู้สึกของเขาเท่านั้น แต่จะให้พระองค์มาครอบครองและออกกผลมากในชีวิตนั้นเขาจะไม่ยอม คนที่มีพระวิญญาณของพระเจ้านั้นไม่ยากหรอก เขาจะออกผล (กท.5:22-24, อฟ.4:32) และหากเรามีความรัก อาการของความรักที่แสดงออกมาก็คือ
1คร.13:4-7 “ความรักอดทนนาน … และอดทนบากบั่นอยู่เสมอ ”
การมีของประทาน การใช้ของประทาน ไม่ได้แสดงออกถึงความรักที่สมบูรณ์ 1คร.13:1-3“…..แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ (เหมือนเสียงฉิ่งฉาบ)….. มีความเชื่อเคลื่อนภูเขาได้ (ไม่มีค่าอะไร) …..ยกทรัพย์สินทั้งหมดให้คนยากไร้..ยอมพลีกายเผาไฟ (เปล่าประโยชน์) หากปราศจากความรัก” นั่นหมายความว่ามีคนมีและทำในสิ่งนี้เหล่านี้ได้โดยไม่มีความรัก
ขอพระเจ้าทรงช่วยเรา ตรวจดูหัวใจของเราว่าได้ห่างไกลจากความรักของพระเยซูหรือไม่ ?ถ้ามีแล้วเราจะกลายเป็นคนที่ทรยศหักหลัง และมีความเกลียดชังอยู่ในหัวใจ ตรวจสอบใจเราวันนี้ และรีบกลับใจใหม่ทันทีก่อนที่จะสายเกินไปนะคะ
ขอพระเจ้าทรงอวยพรทุก ๆ คน