เรื่อง “เราผู้เชื่อทั้งหลายเป็นความสว่างของโลกนี้”

มธ.5:14-16, อฟ.5:8-21

คริสเตียนควรดำเนินชีวิตในยุคสุดท้ายนี้ด้วยการ

  1. ควรเลิกการกระทำของความมืด เพราะถ้าไม่เลิก ความมืดจะครอบงำเรา
  2. ดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่าง คือ ติดตามพระเยซูคริสต์ ด้วยการเชื่อฟังและปฎิบัติตามถ้อยคำของพระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นความสว่างส่องนำทางให้เราเดินด้วยความปลอดภัย แต่เมื่อเดินในความมืดก็จะทำให้เราไม่ปลอดภัย  เรามองไม่เห็น จะทำให้ชีวิตอาจสะดุดล้มลงพลาดไป ช้าไป (1ยน.1:6-7) “ถ้า​เรา​จะ​ว่า​เรา​ร่วม​สา‌มัคคี‍ธรรม​กับ​พระ‍องค์​และ​ยัง​ดำ‌เนิน​อยู่​ใน​ความ​มืด เรา​ก็​พูด​มุสา และ​ไม่​ได้​ดำ‌เนิน​ชีวิต​ตาม​ความ​จริง” เพราะพระเจ้าทรงตรัสว่า “จริงก็ว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ ถ้านอกจากนั้นมาจากมาร”(มธ.5:37)

คต.ที่ดำเนินชีวิตในความสว่าง เขาก็จะกลายเป็นความสว่างของโลก

(มธ.5:14-16) “ท่าน​ทั้ง‍หลาย​เป็น​ความ​สว่าง​ของ​โลก … 16ท่าน​ทั้ง‍หลาย​ก็​เหมือน​กับ​ตะเกียง จง​ส่อง‍สว่าง​แก่​คน​ทั้ง‍ปวง เพื่อ‍ว่า​เมื่อ​เขา​ได้​เห็น​ความ​ดี​ที่​ท่าน​ทำ เขา​จะ​ได้​สรร‌เสริญ​พระ‍บิดา​ของ​ท่าน ผู้​ทรง​อยู่​ใน​สวรรค์”

ความสว่างในชีวิตเรามีความโดดเด่น ไม่ต้องโชว์ แต่ก็มองเห็นได้ ไปที่ไหนเขาก็จะเห็นเรา  และในความสว่างนี้หมายถึงอะไรบ้าง ? (ข้อ 16) หมายถึง ความดีที่ท่านทำ และในอฟ.5:9-13 กล่าวถึงผลของความส่ว่างคือ ​ความ​ดี​ทุก​อย่าง​และ​ความ​ชอบ‍ธรรม​ทั้ง‍มวล​และ​ความ​จริง​ทั้ง‍สิ้น และทั้ง 3 อย่างนี้มีพระวจนะของพระเจ้าเป็นมาตรฐาน ซึ่งไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  ไม่ใช่ตามมาตรฐานของโลกที่เปลี่ยนไปมาได้ เพราะมาตรฐานของโลกนั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและเป็นความชั่วในสายพระเนตรของพระเจ้าเช่น มาตรฐานของการมีบุตร สมัยนี้ไม่ใช่ชายหรือหญิง แต่เป็นเพศที่3 ก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจในสายพระเนตรมาก เพราะสมัยเมืองโสโดม ทรงส่งไฟนรกมาเผาเมืองนี้ เป็นต้น

ดังนั้นคต.จึงต้องดำเนินชีวิตในการทำดีตามมาตรฐานของพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่ของโลกที่อ้างว่าใคร ๆ เขาก็ทำกัน! ต้องมีชีวิตที่โปร่งใส ไม่แอบทำ ทุกสิ่งปรากฎแจ้ง ทุกอย่างตรวจสอบได้

(ข้อ 13…เพราะ‍ว่า​ทุกๆ​สิ่ง​ที่​ปรา‌กฏ​แจ้ง ก็​คือ​ความ‍สว่าง)

ฉะนั้นก่อนทำอะไร คต.ควรคิด ควรพูด ควรทำด้วยการไตร่ตรองก่อน และใช้สติปัญญาอย่างมากในการวางแผน การดำเนินชีวิต เพื่อไม่ผิดพลาดในการเดิน  เราสามารถขอสติปัญญาของพระเจ้าในการดำเนินชีวิตอย่างปลอดภัยสมกับความสว่างที่เราสามารถเปิดเผยได้

(15​ท่าน​จง​ระมัด‌ระวัง​ใน​การ​ดำ‌เนิน​ชีวิต​ให้​ดี อย่า​ให้​เหมือน​คน​ไร้​ปัญ‌ญา แต่​ให้​เหมือน​คน​มี​ปัญ‌ญา16..จง​ฉวย​โอ‌กาส เพราะ‍ว่า​ทุก​วัน‍นี้​เป็น​กาล​ที่​ชั่ว)

คต.ต้องฉวยโอกาสในการทำดีและประกาศพระนามของพระเจ้า  เพราะผู้คนล้มตายจากไปโดยยังไม่ได้มีโอกาสฟังข่าวประเสริฐ  ให้ชีวิตที่มีเหลืออยู่นี้เป็นประโยชน์ได้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้น  ขอให้ชีวิตที่มีนั้นเป็นชีวิตแห่งการให้ออกไปกับผู้คน เพราะถ้าไม่ทำ ทั้งเขาและเราอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำหรือได้รับก็ได้

(17..​อย่า​เป็น​คน​โง่‍เขลา แต่​จง​เข้า‍ใจ​น้ำ‍พระ‍ทัย​ของ​องค์​พระ‍ผู้​เป็น​เจ้า​ว่า​เป็น​อย่าง‍ไร และ

รม.12:2อธิบายให้รู้ว่า “อย่า​ประ‌พฤติ​ตาม​อย่าง​คน​ใน​ยุค‍นี้ แต่​จง​รับ​การ​เปลี่ยน​แปลง​จิต‍ใจ … เพื่อ​ท่าน​จะ​ได้​ทราบ​น้ำ‍พระ‍ทัย​ของ​พระ‍เจ้า จะ​ได้​รู้​ว่า​อะไร​ดี อะไร​เป็น​ที่​ชอบ‍พระ‍ทัย​และ​อะไร​ดี​ยอด‍เยี่ยม”

(19-20จง​ปรา‌ศรัย​กัน​ด้วย​เพลง​สดุดี …)

คือ เวลาทักทายพูดคุยกันด้วยความจริงจากใจ ต่อผู้คนที่เขาได้ยินจะได้มีความชื่นใจ ได้รับกำลัง ให้คนอื่นสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้า​คือ​พระ‍บิดา​สำ‌หรับ​สิ่ง​สาร‌พัด​เสมอ  (21จง​ยอม​ฟัง​กัน​และ​กัน​ด้วย​ความ​เคา‌รพ​ใน​พระ‍คริสต์) แม้บางครั้งเราอาจไม่เห็นด้วยกับเขา แต่เราก็ยอมฟังและสร้างสันติ

สุดท้ายเมื่อเราเป็นความสว่างแล้ว เราจะรักษาชีวิตแห่งความสว่างไว้ได้อย่างไรให้อยู่กับเราตลอดไป ? ซึ่งการรักษานั้นสำคัญมาก 1. เราต้องประกาศและสำแดงจุดยืนของความสว่างในชีวิตของเราต่อสังคมด้วย(มธ.5:15)  2. และ​อย่า​เข้า​ส่วน​กับ​กิจ‍การ​ของ​ความ​มืด​อัน​ไร้​ผล อย่าเข้าไปลอง ไปทดสอบ ปกป้องตัวเองให้พ้นจากความบาปเพราะ​ว่า​แม้​แต่​จะ​พูด​ถึง​การ​เหล่า​นั้น ซึ่ง​พวก​เขา​กระ‌ทำ​ใน​ที่​ลับ​ก็​ยัง​เป็น​ที่​น่า​ละอาย (อฟ.5:11-12) จงรังเกียจการกระทำบาปสิ่งที่ไม่ดีที่พวกเขาทำ (ยูดา23) แต่เราจะไม่เกลียดคนบาป เขาไม่ได้เป็นศัตรู เราต้องอธิษฐานให้เขาได้รับความรอด เพราะพระเจ้าทรงรักคนบาป แต่เกลียดชังความบาป

แต่ทั้งสิ้นที่กล่าวมานี้เราไม่สามารถทำเองได้ เราต้องพึ่งพากำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่พระเยซูทรงสัญญาก่อนขึ้นไปสวรรค์ว่าจะประทานผู้ช่วยให้กับเราในการดำเนินชีวิตนี้ได้

(ข้อ18… แต่​จง​ประ‌กอบ​ด้วย​พระ‍วิญ‌ญาณและ

อฟ.610-12 สุด‍ท้าย​นี้​ขอ​ท่าน​จง​มี​กำ‌ลัง​ขึ้น​ใน​องค์​พระ‍ผู้​เป็น​เจ้า และ​ใน​ฤทธิ์‍เดช​อัน​มหันต์​ของ​พระ‍องค์ 11จง​สวม​ยุทธ‌ภัณฑ์​ทั้ง​ชุด​ของ​พระ‍เจ้า เพื่อ​จะ​ต่อ‍ต้าน​ยุทธ‌อุบาย​ของ​พญา‍มาร​ได้ 12เพราะ‍ว่า​เรา​ไม่​ได้​ต่อ‍สู้​กับ​เนื้อ‍หนัง​และ​เลือด แต่​ต่อ‍สู้​กับ​เทพ​ผู้​ครอง ศักดิ‌เทพ เทพ​ผู้‍ครอง​พิภพ​ใน​โมหะ​ความ​มืด​แห่ง​โลก​นี้ ต่อ‍สู้​กับ​เหล่า​วิญ‌ญาณ​ที่​ชั่ว​ใน​สถาน​ฟ้า​อา‌กาศ”)

ขอบคุณพระเจ้า – พระเจ้าอวยพรค่ะ