(ฮีบรู 11:1-6)

ในฮีบรูบทที่ 11 นี้ ได้รวบรวมเหล่าวีรบุรุษแห่งความเชื่อในพระเจ้า  ผู้เดินในความเชื่อว่าจะเดินอย่างไร ?  และข้อ1-6 นี้เป็นการบอกให้รู้ถึงฐานแห่งความเชื่อ  ซึ่งบทที่10 ข้อ38-39 ได้สอนให้เรารู้ถึงการดำเนินชีวิต ถ้าปราศจากความเชื่อเราก็เป็นที่ไม่พอพระทัย หรืออาจถึงความพินาศได้  ถ้าเราหันกลับความเชื่อของเรา  แต่ถ้าดำเนินด้วยความเชื่อ ชีวิตของเราก็ปลอดภัยและเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า และเป็นคนชอบธรรม

มีการให้ความหมายจากความเชื่อไว้ว่า  :  ไม่ใช่ความคิดในแง่บวก เพราะมันเป็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง  ไม่ใช่เรื่องลางสังหรณ์  ไม่ใช่เรื่องของความหวังในสิ่งที่ดีที่สุด หรือถูกต้อง  ไม่ใช่ความรู้สึกบวก มองโลกในแง่ดี  ซึ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความหมายของความเชื่อที่แท้จริง

ความหมายที่แท้จริงของความเชื่อคืออะไร ?   รากศัพท์ในภาษาฮีบรู คือ “Emunah”  อีมูน่า  เป็นความเชื่อที่ประกอบด้วยการกระทำที่มั่นคง  แน่วแน่ ไม่ล้มเลิก ซึ่งพบคำนี้ใน อพย.17:12 – คือมือที่ยกชูทั้งคู่แบบไม่ล้มเลิกของโมเสส ซึ่งชูจนตะวันตกดิน  ทำให้โยชูวารบชนะชาวอามาเลค ปกป้องชาวอิสราเอลทั้งชาติ  และใน

กท.5:6 “…แต่ความเชื่อซึ่งแสดงออกด้วยความรักเป็นเรื่องสำคัญ”

ทต.1:1 “…ความเชื่อต้องตั้งอยู่ในความรู้และความจริงตามทางของพระเจ้า”

เพราะฉะนั้นความเชื่อไม่ได้ตั้งอยู่บนอะไรก็ได้  หรือแค่คิดดีก็ได้เท่านั้น แต่ต้องตั้งอยู่บนฐานของพระวจนะและประกอบด้วยการกระทำที่มั่นคง แน่วแน่ ไม่ล้มเลิก

ฮบ.11:1,2,6 เป็นความหมายของความเชื่อ คือความมั่นใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น, และโดยความเชื่อนี่เองคนสมัยก่อนจึงได้การรับรองจากพระเจ้า  และถ้าไม่มีความเชื่อแล้วจะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย  เพราะผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น ต้องเชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์  จากพระวจนะทั้ง 3 ข้อนี้เราจะพบว่า  :

  1. ความเชื่อ เริ่มด้วย  ความหวัง  และสิ่งที่เราหวัง  เมื่อมีความเชื่อก็ต้องเต็มบริบูรณ์ด้วยความหวัง  เพราะถ้าไม่มีหวังแล้ว ชีวิตก็ยากที่จะดำเนินต่อไปได้  เพราะถ้าคนที่เผชิญกับความทุกข์ยากมากมาย แต่มีความหวังเขาก็จะผ่านพ้นอุปสรรคเหล่านั้นได้ และความหวังนั้นควรตั้งอยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า  ความเชื่อนั้นมักเริ่มต้นจาก  ความไม่พอใจ ซึ่งอาจเป็นเรื่องชีวิตคู่ การงาน การเงิน สุขภาพ ลูก ๆ พ่อแม่ หรือความสุขที่แท้จริง  ซึ่งถ้าสังเกตได้ว่าถ้าคนมีความพร้อมแล้วความเชื่อในพระเจ้าก็จะจาง ๆ มีคนกล่าวว่า  วิญญาณที่เป็นศัตรูของความเชื่อคือ วิญญาณของความอิ่มอกอิ่มใจในตัวเอง  และชีวิตที่มีพร้อมในวัตถุ จะทำให้เราขาดความเชื่อ เป็นเหตุที่ทำให้เราไม่แสวงหาพระเจ้า หยุดหิวกระหายพระเจ้า ไม่ใช่แค่ได้รับพระพรจากพระเจ้าก็เพียงพอแล้ว  แต่จงมีความเชื่อในสิ่งที่เรามองไม่เห็นว่ามีอยู่จริง นั่นคือองค์พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่  และการที่เราเผชิญกับปัญหานั้น  ก็เป็นโอกาสที่เราจะพบกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในชีวิตของเราที่จะช่วยเหลือเรา
  2. ความเชื่อ เกี่ยวข้องกับพระเจ้า  “3โดยความเชื่อเราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้นโดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นอยู่จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา” เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “จักรวาลจงเกิด” จักรวาลก็เกิดขึ้น  ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า ตั้งแต่พระองค์ทรงตรัสวันแล้ววันเล่า จนถึงปัจจุบันนี้ จักรวาลก็ยังคงดำเนินการเกิดเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่มีสิ้นสุด  และถ้าพระเจ้าตรัสกับเรา มากกว่านั้นสักแค่ไหนสิ่งนั้นก็ต้องเกิดขึ้นกับเราแน่นอนเช่นกัน  เพราะฉะนั้นให้เราตั้งบนความเชื่อในพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่และทรงพระชนม์อยู่ สนใจแม้เส้นผมของเราก็นับไว้

ขอให้เราเป็นคริสเตียนที่แสวงหาพระเจ้าตลอดเวลา ไม่ใช่บางเวลา หรือเฉพาะมีปัญหา  เพราะมีปัญหาก็จะเห็นหน้า ถ้าสบายแล้วก็ไม่เคยเห็นหน้าที่คจ.เลย ไม่ใช่พระเจ้าเป็นคนมอบปัญหาให้แก่ท่าน  แต่จงตรองดูดว่าปัญหามันเกิดจากการหว่านหรือแสวงหาของเราเองหรือไม่   ขอให้เราตระหนักสนใจจิตวิญญาณของเราให้มาก เลี้ยงดูและเข้าใจในฝ่ายวิญญาณให้มากขึ้น  ดูแลลูกหลานครอบครัวของท่านให้เข้มแข็งในองค์พระเจ้า  ความเชื่อของเราต้องพันผูกและ ตั้งมั่นในพระวจนะของพระเจ้า ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราก็จะเข้มแข็งและแข็งแรง  อย่าติดกับโลกวัตถุบนโลกใบนี้ให้มากจนทำให้เราห่างจากพระเจ้า เพราะนั่นเป็นอันตรายต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณ และอาจนำพาไปสู่ชีวิตฝ่ายโลกได้ นั่นคือปัญหาต่าง ๆ

สุดท้ายขอให้เรามีความเชื่อที่บริบูรณ์ด้วยความหวังใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าที่สร้างจักรวาลที่ยิ่งใหญ่นี้  จึงไม่มีปัญหาใดที่จะยากสำหรับพระองค์  ขอให้ทุกคนมีความเชื่อและความหวังที่เพิ่มพูนมากขึ้นในองค์พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่นิรันดร์