(โรม13:11-14)
“11และจงทำอย่างนี้ด้วยเข้าใจว่าปัจจุบันเป็นเวลาอะไร ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะตื่นจากหลับเพราะบัดนี้ความรอดของเราใกล้เข้ามามากยิ่งกว่าเมื่อเราแรกเชื่อ 12กลางคืนเกือบจะจบสิ้นลง จวนจะรุ่งเช้าแล้ว ดังนั้นให้เราถอดพฤติการณ์ของความมืดออกไปและสวมยุทธภัณฑ์ของความสว่าง 13ให้เราประพฤติตนอย่างเหมาะสมเหมือนอยู่ในเวลากลางวัน ไม่เที่ยวมั่วสุม เสพสุราเมามาย ไม่ทำผิดศีลธรรมทางเพศและเสเพล ไม่แตกก๊กแตกเหล่าและอิจฉาริษยากัน 14แต่จงประดับกายด้วยองค์พระเยซูคริสต์เจ้า และอย่าคิดว่าจะสนองความปรารถนาของวิสัยบาป อย่างไรดี ผู้อ่อนแอและผู้เข้มแข็ง”
จากข่าวสังคมในปัจจุบันแสดงให้พวกเราเห็นถึงความรักของคนนั้นเยือกเย็นลง จิตใจคนนั้นเสื่อมทรามลงมากขึ้นเรื่อย ๆ สถิติของเด็กที่ตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรมีมากขึ้น ซึ่งกลุ่มเสี่ยงคือวัยประถม-มัธยมต้นและปลาย สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องเตือนคต.ให้ตระหนักถึงการเฝ้าระวังลูกหลานของเขาเอง สร้างภูมิต้านทานให้เข้มแข็งที่จะไม่ให้เกิดข่าวร้ายเหล่านี้ขึ้นกับคนในครอบครัวและสิ่งเดียวที่จะสร้างภูมิต้านทานชีวิตให้เข้มแข็งได้นั้นคือ การมีพระวจนะของพระเจ้าในชีวิต เพราะถ้าไม่มีภูมิจากพระเจ้า พวกเขาอาจเห็นและดำเนินชีวิตที่เห็นสิ่งผิดเป็นชอบได้ เห็นความบาปของโลกนี้เป็นสิ่งที่หอมหวานน่าลอง
(อสย.5:20 “20วิบัติแก่ผู้ที่เรียกชั่วว่าดี เรียกดีว่าชั่ว เรียกมืดว่าสว่าง ที่สว่างกลับว่ามืด เรียกขมว่าหวาน ที่หวานกลับว่าขม”)
คนสมัยนี้ชอบเชื่อในสิ่งที่โกหกและพ่อของการโกหกก็คือ มาร คต.มีมากมายที่ยอมให้มารหลอก มักทำตามและเชื่อการโกหก
(2ธส.2:11-12 “11ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงส่งความลุ่มหลงมาครอบงำเขาทั้งหลายเพื่อเขาจะเชื่อคำโกหก 12และเพื่อคนทั้งปวงที่ไม่ยอมเชื่อความจริงแต่กลับชื่นชมความชั่วร้ายจะถูกตัดสินลงโทษ ยืนหยัดมั่นคง)
, ดังนั้นจงระวังระไว อย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ
(2ธส.2:3 “อย่าให้ใครมาล่อลวงท่านไม่ว่าในทางใดๆ เพราะยังจะไม่ถึงวันนั้นจนกว่าจะเกิดการกบฏและคนนอกกฎหมาย ซึ่งถูกกำหนดให้พินาศนั้นปรากฏตัว) ,
(1ธส.5:3 “ขณะที่ผู้คนกำลังพูดกันว่า ” สงบสุขและปลอดภัย ” ขณะนั้นหายนะก็จะมาถึงพวกเขาในฉับพลันเหมือนการเจ็บท้องจะคลอดที่เกิดขึ้นกับหญิงมีครรภ์ และคนเหล่านั้นจะหนีไม่พ้น“)
บางทีคริสเตียนก็ไม่ใส่ใจ หรือสนใจพระวจนะหรือข่าวคราวที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นการเตือนเวลาที่ใกล้เข้ามามากแล้ว เปรียบเหมือนหญิงมีครรภ์ที่ใกล้จะคลอดแล้ว นั่นต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ ข้อ11 กล่าวว่า “
11และจงทำอย่างนี้ด้วยเข้าใจว่าปัจจุบันเป็นเวลาอะไร ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะตื่นจากหลับเพราะบัดนี้ความรอดของเราใกล้เข้ามามากยิ่งกว่าเมื่อเราแรกเชื่อ” 12กลางคืนเกือบจะจบสิ้นลง จวนจะรุ่งเช้าแล้ว ดังนั้นให้เราถอดพฤติการณ์ของความมืดออกไปและสวมยุทธภัณฑ์ของความสว่าง”
คำว่า “เวลา” นั้นประมาณว่าเป็นเวลาโพล้เพล้ ใกล้รุ่งเช้า ใกล้สว่างแล้ว คริสเตียนควรจะตื่นและลุกขึ้นเหมือนหญิงพรมจารีย์ทั้ง 5 ที่ฉลาดและเตรียมพร้อมทั้งตะเกียงและน้ำมัน รอเจ้าบ่าวมารับ จนได้เข้าไปร่วมฉลองงานสมรส ส่วนหญิงโง่ที่เหลืออีก 5 คนมีตะเกียงแต่ไม่มีน้ำมัน จึงพลาดการเฉลิมฉลองสมรสตลอดไป
ดังนั้นคริสเตียนควรเป็นคนที่ฉลาดเฝ้าระมัดระวัง และใส่ใจในพระวจนะ เฝ้าอธิษฐาน และติดสนิทกับพระเจ้าให้มากขึ้นทุก ๆ วัน อย่ามัวแต่หลับไหล กินและดื่ม สนุกกับโลกใบนี้ จนเมื่อเวลานั้นมาถึง ทำให้พลาดชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินสวรรค์
จงอย่าเห็นวิถีทางของพระเจ้านั้นเป็นวิถีทางสำรอง เป็นอะหลั่ย แต่จงเห็นเป็นเรื่องหลักที่ควรใส่ใจ และปฎิบัติอย่างทันที จงอย่าให้เราเห็นสิ่งของบนโลกสำคัญกว่าการเชื่อฟังพระเจ้า จงเอาจริงเอาจังกับพระเจ้า
(1ธส.5:6-7 “6ฉะนั้นเราอย่าเหมือนคนอื่นๆ ที่หลับใหล แต่จงตื่นตัวและควบคุมตนเอง 7เพราะผู้ที่หลับก็หลับเวลากลางคืน ผู้ที่เมามายก็เมามายตอนกลางคืน”
และ อฟ.5:14 “14เนื่องจากความสว่างทำให้เห็นทุกสิ่งชัดแจ้ง ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวกันว่า ” โอ ผู้ที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้น”)
จงอย่าเป็นคนไม่รู้สึกรู้สาในการเตือนสติจากพระเจ้า เพราะมันเป็นเรื่องน่ากลัว นี่ถึงเวลาแล้วหรือยัง พระคัมภีร์ได้ทำนายไว้แล้วว่าการข่มเหงจะเกิดขึ้นกับคต. ในยุคสุดท้ายนี้ และรุนแรงด้วย ถ้าไม่มีพระวจนะสะสมไว้ในชีวิต จะมีอะไรหนุนใจคุณให้ผ่านพ้นช่วงเวลานั้นไปได้อย่างไร คุณอาจจะไม่รอดก็ได้ ถ้าคุณไม่มีพระวจนะที่ยึดไว้ คุณก็อาจจะทนไม่ได้ถึงที่สุด คุณก็ไม่รอดที่จะเข้าแผ่นดินของพระเจ้า
สุดท้ายขอพระเจ้าทรงช่วยให้เราเป็นคริสเตียนที่ตื่นตัวตลอดเวลา และลุกขึ้นถอดพฤติการณ์ของความมืดออกไปและสวมยุทธภัณฑ์ของความสว่าง เตรียมพร้อมอยู่เสมอในการกาลเวลานั้นที่จะมาถึงและสามารถรอดและอาศัยอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าร่วมกับพระองค์นิรันดร์กาล อาเมน็