ข้อพระคัมภีร์หลัก ฮีบรู 8:6 ถึง 9:14
ในพระธรรมฮีบรูตอนนี้ กำลังพูดถึงพันธสัญญาที่ดีกว่า ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจคำว่า “พันธสัญญา”ก่อน ในหนังสือ “ความสัมพันธ์บนพันธสัญญา” กล่าวว่า “พันธสัญญา” คือ ข้อตกลงระหว่างสองฝ่ายที่ผูกพันตัวต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา “พันธสัญญา” คือ การผูกพันตัวที่อยู่เบื้องหลังของความสัมพันธ์ใดๆที่ประสบผลสำเร็จ พันธสัญญาประกอบขึ้นด้วยหลักการต่างๆของความสัตย์ซื่อ มีคุณธรรม ซึ่งรับรองความสัมพันธ์นั้นว่าจะได้รับการรักษาไว้
ดร.โรเบิร์ต ไฮด์เลอร์ กล่าวว่า “พันธสัญญา” คือ การอุทิศตนที่จริงจัง และผูกเข้าด้วยกันระหว่างคนสองคนหรือมากกว่านั้น มันเป็นการปฏิญาณถึงการจงรักภักดี และการอุทิศตนอย่างสิ้นเชิงต่ออีกฝ่ายหนึ่ง มันไปไกลเกินกว่าสัญญาหรือการอุทิศตนใดๆ มันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าชีวิต มันคือการเป็นหุ้นส่วนชั่วกัลปาวสาน ไม่สามารถละเมิดได้ภายใต้โทษถึงตาย
พระเจ้าของเราทรงเป็นพระเจ้าแห่งพันธสัญญา ทุกสิ่งที่พระเจ้าทำ อยู่บนพื้นฐานของพันธสัญญา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า พระคัมภีร์ แผนการของพระเจ้า พระพร” ล้วนอยู่บนพื้นฐานแห่งพันธสัญญาทั้งสิ้น และพระเจ้าทรงเรียกให้เราเป็นคนแห่งพันธสัญญา พระเจ้าต้องการให้เราดำเนินชีวิตในพันธสัญญาต่อกันและกันกับพระเจ้า ดังนั้นเราจึงต้องมีความเข้าใจเรื่องพันธสัญญาอย่างถูกต้อง เพื่อเราจะดำเนินชีวิตไปกับพระเจ้าได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คือคนส่วนใหญ่ไม่รักษาสัญญา หรือ ไม่รักษาพันธสัญญาใดๆ ดังนั้นจึงมีคริสเตียนที่หลงหายเพราะไม่เข้าใจเรื่องพันธสัญญานี้ สิ่งที่เราควรทราบคือ เมื่อเราเชื่อและไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระองค์เป็นพระเจ้าของเรา เราก็ได้เข้าสู่ความสัมพันธ์ตามพันธสัญญากับพระเจ้า พันธสัญญาของพระเจ้ามีความหมายต่อเรามาก ดังนั้น เราต้องเรียนรู้เรื่องความสัตย์ซื่อ และมีความตั้งใจที่จะดำเนินในพันธสัญญาของพระเจ้า แต่เมื่อเรามาหาพระเจ้าเราไม่ค่อยสนใจพันธสัญญา แต่เราสนใจพระพรและการอวยพรตามพระสัญญาเท่านั้น เราจึงไม่ยินยอม ไม่อุทิศตัวต่อเงื่อนไขของพันธสัญญา
พระเยซู เป็นพันธสัญญาใหม่ และเป็นผู้ทำพันสัญญาด้วยโลหิตของพระองค์เอง พระองค์เป็นพันธสัญญาที่ดีกว่า (ยอห์น 10:10) พระเยซูได้ให้พระองค์เองแก่เราทุกคน เป็นการอุทิศตัวเองอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นการดำเนินชีวิตของเราในพันธสัญญา หมายถึง การที่เราต้องยอมให้ชีวิตของเราแก่คู่พันธสัญญาของเรา และพระเยซูได้ทำแล้วเพื่อเรา ถ้าเราเดินกับพระองค์ในพันธสัญญา จะไม่มีพระพรใดที่พระเจ้ารั้งไว้ที่จะไม่ให้กับเรา
ฮีบรู 8:6-13 กำลังพูดถึงพันธสัญญาเก่าที่มีข้อบกพร่อง ดังนั้นจึงมีพันธสัญญาใหม่ที่ดีกว่า ที่มีพระเยซูเป็นคนกลาง (ฮีบรู 7:22, ฮีบรู 8:6-7) แล้วอะไรคือข้อบกพร่องของพันธสัญญาเดิม?
- ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่มีฤทธิ์เดช (ข้อ 7) มีข้อปฏิบัติ มีกฏเกณฑ์มากมายที่ให้ไว้กับคนอิสราเอล(ดูได้จากพระธรรมเลวีนิติ) ทำให้คนอิสราเอลล้มเหลวไม่สามารถที่จะทำตามได้อย่างครบถ้วน จากชาติที่มั่งคั่ง กลายเป็นชาติที่ถูกแบ่งแยก และล่มสลายในที่สุด
- พระองค์ถือว่าพระสัญญาเดิมล้าสมัย (ข้อ 13) แต่พระเยซูมาเพื่อทำพันธสัญญาใหม่กับเรา และพระองค์ทำสำเร็จไปแล้ว เหลือแต่ส่วนที่เราต้องทำ คือทำตามพันธสัญญาอย่างสัตย์ซื่อ (เพราะอย่าลืมว่าพันสัญญาต้องมีการกระทำทั้งสองฝ่าย) ใน มัทธิว 5:17 พระเยซูมาเพื่อให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ และเป็นพระสัญญาใหม่ที่ดีกว่า เพราะพระเจ้าทรงทำไว้กับคนอิสราเอล และผู้เชื่อ เต็มไปด้วยพระพร (ข้อ 8-13 มาจาก เยเรมีห์ 31:31-34)
พันธสัญญาใหม่ดีกว่าเดิมอย่างไร?
1) เป็นพันธสัญญาแห่งการคืนดี (ข้อ 8) โดยพระเยซูคริสต์ (เอเฟซัส 2:14-16, กาลาเทีย 3:27-29) เราต้องเป็นคนอยากคืนดี จัดการคืนดีกับทุกอย่าง กับทุกคน ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาคืนดีกับเราก่อน เราต้องเริ่มก่อน
2) เป็นพันธสัญญาที่บรรจุไว้ในจิตใจของเรา (ข้อ 10) เราต้องรักษาใจของเราให้บริสุทธิ์ ให้ห่างไกลจากวิญญาณแห่งการอิจฉา ริษยา วิญญาณอธรรม วิญญาณชั่วต่างๆ (เหมือนกษัตริย์ซาอูลที่อิจฉาดาวิดเมื่อรู้ว่าพระเจ้าทรงเจิมเขาไว้แทนตน) เพื่อเราจะอยู่ในพันธสัญญาของพระเจ้าได้
3) เป็นพันธสัญญาสากล (ข้อ 11) เป็นพันธสัญญาสำหรับทุกคน ทุกชาติตั้งแต่คนต่ำต้อยที่สุด จนถึงคนใหญ่โตที่สุด ครอบคลุมทุกคนแม้คนที่มีปัญหาก็ตาม
4) เป็นพันธสัญญาเพื่อการยกโทษ และให้อภัยสำหรับทุกคน (ข้อ 12) ไม่มียกเว้น แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะสามารถเวียนวนอยู่กับความบาปเดิมๆ และมีชีวิตไม่ก้าวหน้าไปในสิ่งที่ดีขึ้นได้ ไม่ใช่เช่นนั้น แต่พระเจ้าทรงยกโทษให้กับผู้ที่สำนึกผิด และกลับใจจากความบาป และดำเนินชีวิตที่สูงขึ้นเรื่อยๆเหมือนขดสปริง
5) เป็นพันธสัญญาที่ไว้วางใจได้ เพราะพระเจ้าเป็นผู้ทำพันธสัญญา (ข้อ 8) เพราะพระเจ้าสัญญาว่าจะเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า (ข้อ 10) เพราะพระเจ้าจะเมตตาต่อการอธรรมของเราและไม่จดจำบาปของเรา(ข้อ 12) เพราะพระเจ้าจะให้เรารู้จักพระองค์ (ข้อ 11) เราต้องเรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น
เหล่านี้เพื่อเราจะเชื่อและไว้วางใจในพระองค์ได้มากขึ้น เพื่อเราจะเติบโตและก้าวจากพระสิริหนึ่งสู่พระสิริหนึ่งได้ เพื่อจะรับพระสัญญาที่ครบบริบูรณ์ในชีวิตของเราได้ เพื่อเป็นพระพรต่อให้ผู้อื่น และเพื่อจะนำคนทั้งหลายกลับมาหาพระเจ้า
ขอพระเจ้าอวยพระพร (ศศกร กลิ่นส่ง ผู้สรุปคำเทศนา)