(มัทธิว 16:13-19)
จากตอนแรกเราได้พบว่าพระเจ้าออกแบบคริสตจักรของพระองค์ ให้เป็นคริสตจักรแห่งชัยชนะ คริสตจักรเป็นเอเย่นต์เดียวของพระเจ้าที่อยู่บนแผ่นดินโลก เพื่อทำพันธกิจของพระเจ้าให้สำเร็จ นำคนทั้งหลายไปสู่แผ่นดินของพระเจ้า และได้รับความรอด เป็นเอเย่นต์ที่จะสร้างคนบนแผ่นดินโลกให้เหมือนกับพระองค์ พระเจ้าทรงมีแผนการเดียวคือใช้คริสตจักรทำพันธกิจของพระองค์ให้สำเร็จ เพราะฉะนั้นเราจึงเป็นบุคคลที่สำคัญมากๆ ในแผนการของพระเจ้า พระองค์ต้องการใช้ชีวิตของเราเป็นเอเย่นต์ที่ประสบความสำเร็จบนแผ่นดินโลกนื้ พระเจ้าทรงมีแผนการสำหรับเรา เพื่อจะเป็นคำตอบในแผ่นดินของพระเจ้า เราจึงต้องทำหน้าที่ของเราให้สำเร็จ เกิดผลเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า และพระคัมภีร์ยบอกไว้ว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตที่เกิดผลได้ ถ้าเรายอมรับความจริงที่สำคัญ 4 ประการด้วยกัน
ประการที่ 1 พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ หมายความว่า พระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
ประการที่ 2 พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มีความหมายว่าพระเยซูนั้นเป็นพระเจ้า และคำว่าพระเจ้าก็คือพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า
ประการที่ 3 พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ (มัทธิว 16:16) ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเท่าเทียมกับพระบิดาและพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ตลอดไปนิรันดร์
ฮีบรู 11:6“เพราะว่าผู้ที่จะมาเข้าเฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่”
อย่างแรกที่จะต้องเชื่อก็คือพระเจ้าองค์นี้เป็นพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่ เป็นพระเจ้าที่ไม่ตาย พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ตลอดไปเป็นนิตย์
ฮีบรู 13:8 “ผู้ทรงเหมือนเดิมในเวลาวานนี้ และเวลาวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์”
ฤทธิ์เดชของพระเจ้าเหมือนเดิม พระประสงค์ของพระเจ้าเหมือนเดิม แผนการของพระเจ้าเหมือนเดิม พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นนิตย์ แตกต่างจากเราทั้งหลายที่เป็นมนุษย์ธรรมดา ความจริงนั้นก็คือพระเจ้าองค์นี้เป็นพระเจ้าผู้อยู่นอกเหนือกาลเวลา พระคัมภีร์จึงบอกไว้ว่าพันปีในโลกมนุษย์ก็เหมือนวันเดียวในพระเจ้า ไม่เหมือนมนุษย์ที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ หลายครั้งการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์นั้นก็นำความเจ็บปวดมาสู่ชีวิตของเราบ้าง นำความชื่นชมยินดีมาสู่เราบ้าง พระเจ้าจะไม่ปรับตัวเองให้สอดคล้องกับความต้องการของมนุษย์ แต่มนุษย์จะต้องปรับตัวเองให้สอดคล้องกับพระประสงค์และแผนการของพระเจ้า และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง เราอยู่ภายใต้กาลเวลา ร่างกายของเราจึงเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่ไม่แก่ ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ยังเหมือนเดิม ไม่เหมือนกับรูปเคารพอื่นๆ
อพยพ 20:3 “อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา”
เพราะว่าพระและเจ้าอื่นๆ นั้นเป็นพระที่อยู่ภายใต้กาลเวลา เมื่อกาลเวลาผ่านไปรูปเคารพเหล่านั้นก็สูญเสียอวัยวะไป แต่คนก็ยังให้ความเคารพว่าเป็นรูปเคารพอยู่ดี แต่รูปเคารพเหล่านั้น กระทั้งจะรักษาขาของตัวเอง แขนของตัวเองให้คงอยู่ก็ยังกระทำไม่ได้ เพราะรูปเคารพเหล่านั้นก็ยังอยู่ภายใต้กาลเวลา และเมื่อพระองค์ทรงบอกว่าอย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่หวงแหนเราทั้งหลาย ซึ่งจะซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ในพระคัมภีร์จึงเปรียบเทียบผู้เชื่อว่าเป็นเหมือนเจ้าสาวของพระองค์ เรามีหลายสถานะในการที่มารู้จักกับพระเจ้า เราเป็นบุตรของพระเจ้า เราเป็นสหายของพระเจ้า แต่อีกสถานะหนึ่งที่สำคัญมาก คือเป็นเจ้าสาวของพระเจ้า ไม่มีการปันใจให้กับพระอื่นใด เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่หวงแหน เราจึงไม่สามารถเชื่อในพระองค์วางใจในพระองค์ แล้วไปรับใช้ หรือเชื่อในพระอื่นร่วมกับพระเจ้าได้ เมื่อพระเจ้าเข้ามาในชีวิตของเรา พระเจ้าบอกว่าเราจะมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากเราได้ต้อนรับพระเจ้า คือ มีชีวิตที่อิ่มเอม เป็นชีวิตที่มีสันติสุข
อพยพ 20:4 “อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน”
เพราะพระองค์ทรงรู้ว่ารูปเคารพมีฤทธิ์ แต่ช่วยมนุษย์ไม่ได้ รูปเคารพมีฤทธิ์ได้เพราะมนุษย์ได้เชิญผีร้าย วิญญาณชั่วเข้ามาสิงสถิตมีการปลุกเสก เมื่อเรากราบไหว้รูปเคารพก็เหมือนเรากราบไว้ผีร้ายวิญญาณชั่วที่อยู่ในรูปเคารพนั้น
สดุดี 23:1“พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน”
มีความหมายมากกว่าการที่พระเจ้าจะเลี้ยงดูเราด้วยอาหาร พระเจ้าองค์นี้เพียงองค์เดียวเพียงพอต่อความต้องการในทุกๆ ด้านของเรา พระเจ้าจะทรงดูแลเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน การเงิน การเรียน เรื่องสุขภาพ เรื่องที่อยู่อาศัย พระเจ้าจะช่วยเหลือเราทันเวลาเสมอ บางครั้งพระองค์อาจช่วยช้า แต่พระองค์ไม่เคยช่วยสาย ซึ่งพระและเจ้าอื่นไม่สามารถช่วยเราได้ บางครั้งมนุษย์กลับต้องช่วยพระและเจ้าจากน้ำท่วม จากไฟ จากการถูกขโมย
อพยพ 3:14 ”เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น”
เราจำเป็นต้องมีอะไร พระเจ้าจะประทานสิ่งนั้นให้แก่เรา
ประการที่ 4 เป็นการยอมรับที่ออกมาจากวิญญาณ
มัทธิว 16:17 การยอมรับนี้จะต้องเกิดมาจากใจ และจะต้องเกิดมาเพราะการสำแดงจากสวรรค์ เกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนนั้นจึงจะสามารถเข้าใจความจริงนี้ได้ ไม่ใช่การยอมรับจากริมฝีปากเท่านั้น แต่จะต้องเป็นการยอมรับจากส่วนลึกของหัวใจ คือจากวิญญาณ การยอมรับด้วยปาก และการเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า จะสามารถทำให้ผู้นั้นได้รับความรอดได้