๑.  พระวิญญาณบริสุทธิ์คือใคร ? ที่ผ่านมาผู้เชื่อใหม่มักจะได้ยินแต่คำว่า  “พระเจ้า” “พระเยซู”  แต่คำว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อาจจะไม่ค่อยคุ้นแม้แต่บางคนที่เชื่อพระเจ้ามานานแล้วก็ตาม  ยังไม่มีความเข้าใจเรื่องนี้ดีหรืออย่างถูกต้อง  จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจเพราะจะยังผลต่อชีวิตคริสเตียนและการดำเนินชีวิตประจำวันด้วย  และโดยเฉพาะยุคนี้เป็นยุคของการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย   หากขาดความรู้และเข้าใจในเรื่องนี้  การดำเนินชีวิตคริสเตียนจะมีชัยชนะและเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้อย่างไร  พระวิญญาณบริสุทธิ์มีความสำคัญต่อชีวิตคริสเตียนมาก  แต่จำเป็นที่จะต้องทำความรู้จักกับพระองค์ก่อน  พระองค์ทรงเป็นใคร?

(๑.๑)  พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นหนึ่งในสามพระภาคของพระเจ้า อย่าลืมว่าเรามีพระเจ้าเดียวแต่ทรงปรากฎเป็นสามพระภาค คือ  พระบิดา(พระเจ้า)   พระบุตร(พระเยซู)   และพระวิญญาณบริสุทธิ์   พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย  และความสมบูรณ์ของพระเจ้าอยู่ในพระองค์อย่างครบถ้วน  ภาพที่ทำให้เราเห็นชัดในสามพระภาคนั้นก็คือ  ตอนที่พระเยซูทรงรับบัพติศมากับยอห์น  แบ๊พติส   ในพระธรรมมัทธิว ๓:๑๖-๑๗ “ครั้นพระองค์ทรงรับบัพติสมาแล้ว ในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจากน้ำ  และท้องฟ้าก็แหวกออก  และพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบ ลงมาสถิตอยู่บนพระองค์ และนี่แน่ะมีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า  ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” และเมื่อพระเยซูทรงตรัสถึงองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะเสด็จมาภายหลังที่พระองค์ทรงเสด็จขึ้นไปยังสวรรค์แล้ว  ในพระธรรมยอห์น ๑๖:๘ “อย่างไรก็ตามเราจะบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย  คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน  เพราะถ้าเราไม่ไป  องค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน  แต่ถ้าเราไปแล้ว  เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน” นั้นหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง

(๑.๒)  พระองค์ทรงเป็นบุคคล ในความเป็นบุคคลของพระองค์นั้นคือ  พระองค์ทรงมีปัญญา  ความรู้  ความเข้าใจ  มีความรัก  ทรงเสียพระทัย  ทรงสามารถ  ทรงประกอบราชกิจ  ทรงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่  ซึ่งจะสังเกตจากผลของพระวิญญาณนั้นก็ชัดเจนในความเป็นบุคคลของพระองค์   ในพระธรรมกาลาเทีย ๕:๒๒-๒๓ “ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ  สันติสุข  ความอดกลั้นใจ  ความปราณี  ความดี  ความสัตย์ซื่อ  ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน…” เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับใคร  ชีวิตเขาจะออกผลของพระองค์นั่นคือลักษณะนิสัยการกระทำของคนนั้นจะออกมาเป็นอาการของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สำแดงออกมาในเขา

๒.  คำพยากรณ์ที่กล่าวถึงพระองค์

(๒.๑)  ในพระคัมภีร์เดิม ในพระธรรมโยเอล  ๒:๒๘-๒๙  “ต่อมาภายหลังจะเป็นอย่างนี้   คือเราจะเทพระวิญญาณของเรามาเหนือมนุษย์ทั้งปวง  บุตรชายบุตรหญิงของเจ้าทั้งหลายจะเผยพระวจนะ  คนชราของเจ้าจะฝัน  และคนหนุ่มของเจ้าจะเห็นนิมิต ในกาลครั้งนั้น   เราจะเทพระวิญญาณของเรา   มาเหนือกระทั่งคนใช้ชายหญิง”

ในพระคัมภีร์เดิม  งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการที่พระองค์จะเสด็จมาเจิมหรือสถิตอยู่เหนือใครเป็นงานเฉพาะกิจ  เฉพาะบางคน  บางโอกาส  หรือคนที่ได้รับการทรงเลือกสรรเป็นพิเศษเพื่องานเฉพาะกิจเท่านั้น  เช่น  ผู้นำ  ผู้เผยพระวจนะ  และเป็นการสถิตอยู่ชั่วคราวและจำกัด  ตัวอย่างเช่น   ในพระธรรมอพยพ ๓๑:๑-๕  “พระ​ยาเวห์​ตรัส​กับ​โมเสส​ว่า  “ดู​สิ เรา​ได้​เลือก​เบซาเลล ​ บุตร​อุรี​ผู้​เป็น​บุตร​เฮอร์​แห่ง​เผ่า​ยูดาห์ และ​เรา​ได้​ให้​เขา​เต็ม​เปี่ยม​ด้วย​พระ​วิญญาณ​ของ​พระ​เจ้า  คือ​ให้​เขา​มี​สติ​ปัญญา  ความ​เข้า​ใจ​และ​ความ​รู้​ใน​งาน​ช่าง​ทุก​อย่าง  เพื่อ​จะ​คิด​ออก​แบบ​ใน​การ​ทำ​เครื่อง​ทอง  เครื่อง​เงิน และ​เครื่อง​ทอง​สัมฤทธิ์  ใน​การ​เจียระไน​อัญมณีสำหรับ​ฝัง​ใน​กระเปาะ  และ​ใน​การ​แกะ​สลัก​ไม้​สำหรับ​งาน​ช่าง​ทุก​อย่าง”  ให้เขามีวิญญาณของพระเจ้าเพื่อจะมีสติปัญญาความรู้ความเข้าในในการเป็นช่างออกแบบงานฝีมือศิลปะ   เพื่อสร้างพลับพลาของพระเจ้าให้สวยงาม   ในพระธรรมผู้วินิจฉัย ๖:๓๔-๓๕ แต่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตกับกิเดโอน ท่านก็เป่าเขาสัตว์   เรียกตระกูลอาบีเยเซอร์ให้มาติดตามท่าน  และท่านส่งผู้สื่อสารไปทั่วมนัสเสห์   เรียกให้เขายกติดตามท่านไปด้วย   และท่านส่งผู้สื่อสารไปยังอาเชอร์  เศบูลุน  และนัฟทาลี   คนเหล่านี้ก็ขึ้นมาปะทะข้าศึกด้วย”ทรงสถิตกับกิเดโอนให้เขามีความกล้าหาญในการเป็นผู้นำออกรบกับศัตรู เพราะกิเดโอนขาดความกล้าหาญ

(๒.๒)  ในพระคัมภีร์ใหม่ ก่อนที่พระเยซูจะจากสาวก(ละจากโลก) ของพระองค์ไปสวรรค์  คืออีกวันเดียวที่พระองค์จะถูกตรึงที่กางเขนและสิ้นพระชนม์และถูกฝังไว้ในอุโมงค์  ๓ วัน  ได้เป็นขึ้นมาจากความตายและทรงอยู่ในโลกต่อถึง ๔๐ วัน  พระองค์ทรงบอกสาวกถึงท่านผู้หนึ่งที่จะเสด็จมาภายหลังพระองค์ว่า   ตั้งแต่ในพระธรรมยอห์น ๑๔:๑๖-๑๗, ๒๖  “เราจะทูลขอพระบิดา   และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน   เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป คือพระวิญญาณแห่งความจริง   ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้   เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์   ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์   เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน   และจะประทับอยู่ในท่าน….   แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น   จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง   และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้วและในพระธรรมยอห์น ๑๖:๗-๘, ๑๓-๑๕ “อย่างไรก็ตามเราจะบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย   คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน   เพราะถ้าเราไม่ไป   องค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน   แต่ถ้าเราไปแล้ว   เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว   พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความผิด   ความชอบธรรม   และการพิพากษา   เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว   พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล   เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ   แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน   และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ   เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา   เหตุฉะนั้นเราจึงกล่าวว่า   พระวิญญาณทรงเอาสิ่งซึ่งเป็นของเรานั้น   มาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย” นี่คือสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกล่าวไว้กับสาวกของพระองค์เกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะเสด็จมาภายหลังจากที่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว    ตลอดทั้งพระราชกิจของพระองค์ที่จะทรงกระทำท่ามกลางเหล่าสาวกเมื่อพระวิญญาณทรงเสด็จลงมาสถิตกับพวกเขา

(๒.๓)  ในยุคสุดท้าย หมายถึงเมื่อไร?    ก็คือช่วงเวลาคริสตศักรราชในปัจจุบันนี้แหละ  คำพยากรณ์ได้เป็นจริงตามพระธรรมโยเอล ๒:๒๘-๒๙    เมื่อคนในสมัยของโยเอลได้ยินถ้อยคำเหล่านี้คงจะอิจฉาคนในยุคนี้   ก็คงไม่ต่างจากคนในสมัยพระคัมภีร์เดิม  เมื่อเขาได้ยินถึงคำพยากรณ์เกี่ยวกับพระเมสสิยาห์(พระเยซูคริสต์)    เขาคงรู้สึกอิจฉาคนยิวรุ่นหลังที่จะได้เห็น ได้ยิน และได้สัมผัสถึงพรพเมสสิยาห์ (ผู้ที่ถูกเจิมไว้) ผู้ที่ได้พยากรณ์ไว้   แต่พอพระเยซูเสด็จมาบังเกิดปรากฏเป็นตัวตนจริงๆ ให้เขาเห็นกลับตรงกันข้าม    คนในยุคสมัยของพระเยซูกลับปฏิเสธพระองค์   จนในที่สุดได้โหวดเสียงให้ตัดสินประหารพระองค์เสียโดยการตรึงที่กางเขน   ฉะนั้นคริสเตียนยุคนี้ก็ต้องระวังเช่นกัน  เกรงว่าจะเป็นเหมือนพวกยิวในสมัยพระเยซู  เราทั้งหลายได้อธิษฐานขอพระวิญญาณที่จะเสด็จลงมาฟื้นฟู  ทรงเจิมขอการทรงสำแดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์  รวมถึงฤทธานุภาพของพระเจ้าที่จะทรงปรากฎท่ามกลางผู้เชื่อ  แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาจริงๆ  กลับรับไม่ได้  เพราะไม่เหมือนกับที่คิดและคาดหวังไว้  เขาจึงปฏิเสธและดูหมิ่นพระองค์ หาว่าไม่ใช่กิจการที่มาจากพระเจ้า  ตรงกันข้ามกลับหาว่ามาจากผีปีศาจด้วยซ้ำไป   จงระวัง!  เพราะพระวจนะของพระเจ้าได้เตือนไว้ในพระธรรมลูกา ๑๒:๑๐  “ผู้ใดจะกล่าวร้ายบุตรมนุษย์จะทรงโปรดยกโทษให้ผู้นั้นได้  แต่ถ้าผู้ใดจะกล่าวหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์   จะทรงโปรดยกโทษให้ผู้นั้นไม่ได้” ในการทรงสำแดงของพระวิญญาณนั้นเราไม่สามารถกำหนดพระองค์ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าได้   หรือตามความคิดที่จำกัดของเรา  หรือประสบการณ์ของเราได้  เพราะพระองค์ไม่จำเป็นที่จะกระทำสิ่งใดตามความคาดหวังของมนุษย์คนหนึ่งคนใดได้   แต่ตามพระประสงค์ของพระเจ้าและวิธีการของพระองค์เท่านั้น  ไม่เช่นนั้นจะทำให้หลายคนปฏิเสธพระวิญญาณบริสุทธิ์ไป  เพราะเรื่องของพระวิญญาณเราไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยความคิดและปัญญาของมนุษย์ธรรมดาได้  แต่ต้องพึ่งพระปัญญาและพระวิญญาณของพระเจ้าที่จะทรงช่วยเรา  หากเราจะวิเคราะห์สิ่งใด  หรือที่จะตัดสินสิ่งใดที่มาจากพระเจ้า จำเป็นอย่างยิ่งเราต้องอธิษฐานและขอการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะทรงช่วยเรา  ไม่เช่นนั้นจะมีโอกาสผิดพลาดได้มาก   ในพระธรรม ๑โครินธ์ ๒:๙-๑๓  “ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า  สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน   และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง   คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์  พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านั้นแก่เราทางพระวิญญาณ   เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า   อันความคิดของมนุษย์นั้นไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้   เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเองฉันใด   พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้   เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น   เราทั้งหลายไม่ได้รับวิญญาณของโลก   แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า   เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆ  ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่เรา   เรากล่าวถึงเรื่องสิ่งเหล่านี้   ด้วยถ้อยคำซึ่งมิใช่ปัญญาของมนุษย์สอนไว้   แต่ด้วยถ้อยคำซึ่งพระวิญญาณได้ทรงสั่งสอน   คือเราได้อธิบายความหมายของเรื่องฝ่ายวิญญาณ   ให้คนที่มีพระวิญญาณฟัง” หากเราพร้อมที่จะมีประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์  เราจะไม่จำกัดพระองค์เพียงประสาทสัมผัสทั้งห้า  เช่น  ตา หู ฝ่ายร่างกาย  หรือความคิดที่แคบๆ ของเราอีกต่อไป  และพร้อมที่จะให้เสรีภาพกับพระองค์อย่างเต็มที่  และเมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าเคลื่อนไหวและเข้ามาสัมผัสเรา  สิ่งที่ไม่ดีไม่ว่าจะเป็นความบาปหรือ  รากขมขื่น  ความชั่วร้ายและรวมถึงวิญญาณชั่วก็อยู่ไม่ได้   มันต้องออกไปเมื่อพระวิญญาณทรงเคลื่อนไหว ให้ทำความเข้าใจใหม่ว่าบางคนที่เคยยุ่งเกี่ยวกับเหล่าวิญญาณชั่วมาก่อนจึงมีอาการเหมือนคนผีเข้า  ไม่ใช่อาการผีเข้าแต่เป็นผีออก  เป็นการปลดปล่อยคนจากวิญญาณชั่วที่จองจำเขา  อาจเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณชั่วที่เขาเคยเกี่ยวข้องมาก่อน ที่จะมารับเชื่อ  หรือบางทีก็เป็นวิญญาณแห่งความขมขื่นหรือการไม่ให้อภัยในชีวิตของเขา   และเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาประทับกับใครนั้นการสำนึกผิดหรือการเสียใจในการกระทำบาป  เสรีภาพฝ่ายวิญญาณและความชื่นชมยินดีก็เกิดขึ้นในคนนั้น   จึงเกิดอาการต่างๆ   เช่น  ร้องไห้ กรีดร้อง หัวเราะ กระโดดโลดเต้น ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี การหัวเราะ อาการต่างๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นแล้วแต่สภาวะที่คนนั้นเป็น   ตัวท่านพร้อมหรือยังที่จะให้พระองค์เข้ามาทะลุทะลวงในชีวิตเราหรือยังไม่ยอมกับพระองค์   แน่นอนพระองค์จะเทการเจิมลงมาเหมือนห่าฝน   แต่คนที่จะได้รับขึ้นอยู่กับว่าเขาเปิดชีวิตของเขาที่จะรองรับน้ำฝนที่พระเจ้าจะเทลงมาหรือไม่  เขาออกไปให้ฝนของพระวิญญาณโดนเขาจนเปียกชุ่มฉ่ำหรือเขาจะปิดใจตัวเอง  โดยการกางร่มไม่ยอมให้โดนฝน  เราเลือกที่จะเป็นคนไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเราได้เตรียมใจเราอย่างเต็มที่ในการต้อนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์   คริสเตียนส่วนมากจะรู้จักการบัพติสมาในน้ำดี  เพราะเมื่อเขารับเชื่อแล้วไม่นานเขาก็จะถูกสอนและหลังจากนั้นก็จะเข้าสู่พิธี  ทุกคนที่เชื่อจะต้องรับไม่เว้นสักคนเดียวตามคำสั่งของพระเยซูคริสต์  ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีผลต่อความรอดแต่ประการใดรวมทั้งการดำเนินชีวิตตลอดทั้งการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าด้วย   แต่เพราะเราถือว่าเป็นคำสั่งของพระเยซูคริสต์ที่ผู้เชื่อทุกคนต้องปฏิบัติตาม  ในพระธรรมมัทธิว ๒๔:๑๙  “เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ  ให้เป็นสาวกของเรา  ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา  พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์”   มีพระคัมภีร์ในพระกิตติคุณทั้งห้าเล่มรวมทั้งพระธรรมกิจการด้วยที่ได้กล่าวถึงการบัพติสมาอีกอย่างหนึ่ง   ซึ่งในพระธรรมมัทธิว ๒:๑๑  “เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ   แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง   แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา   ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก  ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะถอดฉลองพระบาทของพระองค์   พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลาย  รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ” และนั่นก็คือ “การบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์” ที่คริสเตียนส่วนมากไม่ค่อยจะรู้จัก  และก็ไม่ค่อยถูกสอนอย่างชัดเจนและจริงจังในคริสตจักร

ในคริสตจักรของเราก็ได้สอนมาตลอด  แต่ก็มีน้อยคนที่เอาใจใส่และต้องการที่จะรับ  จะด้วยเหตุผลประการใดก็แล้วแต่ดิฉันเองก็เช่นกัน  ดิฉันได้เชื่อในพระเยซูโดยการต้อนรับพระองค์เข้ามาในใจในปีค.ศ. ๑๙๗๒   แต่มาได้รับการเรียนรู้เรื่องบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างชัดเจนในปีค.ศ. ๑๙๘๔ เป็นเวลาถึง  ๑๔ ปี  เพราะไม่ได้รับการสอนอย่างเจาะจง แต่ถึงกระนั้นก็แสวงหาที่จะมีประสบการณ์แม้ยังไม่เข้าใจอย่างถูกต้อง  ดังนั้นจึงได้รับประสบการณ์การรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ในปีค.ศ. ๑๙๘๓ ได้รับก่อนที่จะเรียนรู้อย่างถูกต้อง  ทำไมคริสตจักรส่วนมากไม่ได้สอนและเน้นเรื่องนี้   สาเหตุอาจจะเนื่องมาจากการไม่เห็นความสำคัญก็ได้   แต่ถ้าหากว่าไม่สำคัญจริงทำไมพระคัมภีร์ทั้ง 5 เล่ม ได้กล่าวถึง และก็มีคำทำนายไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ในพระคัมภีร์เดิมมา  รวมทั้งท่านยอห์น แบ๊พติส และพระเยซูคริสต์ก็ทรงกล่าวถึง  แท้จริงการรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับคริสเตียนทุกคน  แม้ไม่ใช่คำสั่งแต่เป็นคำกำชับของพระเยซูต่อสาวกว่าไม่ให้เขาออกไปไหนและทำอะไรก่อน  ให้เขารอที่จะรับพระวิญญาณบริสุทธิ์  การรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์จะมีผลดีต่อการดำเนินชีวิตคริสเตียนมากซึ่งจะอธิบายต่อไปภายหลัง  อาจเป็นได้ที่มารซาตานได้ปิดบังไว้ไม่ให้คริสเตียนสนใจ  เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยในการอธิษฐานและทำให้ชีวิตคริสเตียนของเขามีกำลังฤทธิ์เดชและมีชัยชนะ  ขณะที่อ่านนี้ ขอตาใจของท่านเปิดออกที่จะเข้าใจอย่างถูกต้องและหิวกระหาย แสวงหา  คริสเตียนทุกคนควรต้องการรับทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้ตามที่ได้กล่าวไว้ในพระวจนะทั้งหมด  และต้องการที่จะมีประสบกาณ์ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์  โดยไม่ได้ดูที่มนุษย์เป็นตัววัด  หรือความคิดของเราเองเป็นกรอบบรรทัดฐาน  จะทำให้พลาดจากพระพรของพระเจ้าได้  ตามพระธรรม ๒โครินธ์ ๑๐:๔-๕  เพราะว่าศาสตราวุธของเราไม่เป็นฝ่ายโลกียวิสัย   แต่มีฤทธิ์เดชจากพระเจ้า  อาจทำลายป้อมได้ คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม   และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า   และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์” เราควรมีใจปรารถนาเหมือนอย่างอาจารย์เปาโลที่ได้กล่าวไว้ในพระธรรมฟิลิปปี ๓:๑๐ “ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์   และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช   เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น   และร่วมทุกข์กับพระองค์   คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์”

๓.  บัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นประสบการณ์หนึ่ง

ในพระธรรมมาระโก ๑:๔, ๗, ๘  ท่านยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาก็ได้ปรากฏตัวในถิ่นทุรกันดาร   ท่านได้ประกาศให้กลับใจเสียใหม่   และรับบัพติศมา   เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปเสีย  ท่านประกาศว่า   “ภายหลังเราจะมีพระองค์ผู้หนึ่งเสด็จมา   ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก   ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะน้อมตัวลงแก้สายฉลองพระบาทให้พระองค์  เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ   แต่พระองค์นั้นจะให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” การบัพติสมาในน้ำ  มนุษย์เป็นผู้ให้  แต่บัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์พระเยซูคริสต์เท่านั้นเป็นผู้ให้  และในพระธรรมกิจการ ๑๙:๒-๔ “จึงถามเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเชื่อนั้น   ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า”   เขาตอบว่า   “เปล่า   เรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเราก็ยังไม่เคยได้ยินเลย  เปาโลจึงถามเขาว่า   “ถ้าอย่างนั้นท่านได้รับบัพติศมาอันใดเล่า”   เขาตอบว่า   “บัพติศมาของยอห์น” เปาโลจึงว่า   “ยอห์นให้รับบัพติศมาสำแดงถึงการกลับใจใหม่   แล้วบอกคนทั้งปวงให้เชื่อในพระองค์ผู้จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซู” การรับเชื่อเป็นประสบการณ์หนึ่ง  การรับบัพติสมาในน้ำก็เป็นอีกประสบการณ์หนึ่ง  และการรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งเช่นกัน   เป็นคนละประสบการณ์  บางครั้งการรับเชื่อที่ได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ทันทีเลยก็มี   ดังตัวอย่างในพระธรรมกิจการ ๑๐:๔๔ เมื่อเปโตรยังกล่าวคำเหล่านั้นอยู่   พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาสถิตกับคนทั้งปวงที่ฟังพระวจนะนั้น   ฝ่ายพวกที่ได้เข้าสุหนัต ซึ่งเชื่อถือในพระเยซูเจ้า   คือที่มาด้วยกันกับเปโตรก็ประหลาดใจ   เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์   ให้ลงมาบนคนต่างชาติด้วย  เพราะเขาได้ยินคนเหล่านั้นพูดภาษาต่างๆ   และยกย่องสรรเสริญพระเจ้า   เปโตรจึงย้อนถามว่า  “ใครอาจจะห้ามคนเหล่านี้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนเรา   โดยมิให้เขารับบัพติศมาด้วยน้ำได้”  เปโตรจึงสั่งให้เขารับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์   และเขาทั้งหลายได้ขอให้เปโตรยับยั้งอยู่กับเขาอีกสองสามวัน” เมื่อเขาฟังท่านเปโตรเทศนาเขารับด้วยความเชื่อ คือในใจเขาเชื่อ  แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงเสด็จมาบนเขา  หลายคนเข้าใจว่าการรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเกิดขึ้น เมื่อรับเชื่อแล้วก็ได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยปริยายทุกคน  โดยอ้างในพระธรรมเอเฟซัส ๑:๑๓ “ในพระองค์นั้น  ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน   เมื่อท่านได้ฟังสัจวาทะ   คือข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของท่าน   และได้วางใจในพระองค์   ได้รับการผนึกตราไว้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งพระสัญญา  เป็นมัดจำของการรับมรดกของเรา   จนกว่าเราจะได้รับเป็นกรรมสิทธิ์   เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่พระสิริของพระองค์”คำว่า “ประทับตรา” กับคำว่า “จุ่ม” นั้นไม่เหมือนกัน  ต่างกันอย่างสิ้นเชิง  ในพระธรรมเอเฟซัสไม่ได้กล่าวถึงเรื่องบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์แต่กล่าวถึงความรอดและมรดก  ถ้าต้องการจะรู้ เรื่องบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์จะต้องศึกษาในพระธรรมกิจการ  และในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มที่พระเยซูและท่านยอห์นได้กล่าวไว้   แล้วถ้าจะกล่าวว่าเรารับแล้วเมื่อเราเชื่อ  มีอะไรบ่งบอกว่าเราได้รับแล้ว  จะต้องมีสิ่งที่สำแดงออกมาหรือเป็นประสบการณ์ที่จะบ่งบอกได้  และก็ไม่มีข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงว่าเมื่อเรารับเชื่อเราก็รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว  หลายครั้งการที่รู้สึกขนลุกเมื่อนมัสการ  อธิษฐาน  หรือรู้สึกวูบๆ วาบๆ ในร่างกายเมื่อเข้าไปอยู่ในบรรยากาศในการทรงสถิตของพระวิญญาณก็ไม่ใช่เป็นการรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์   คนที่รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาทั้งการรับใช้และชีวิตในการอธิษฐานและการนมัสการ   ดูในพระธรรมกิจการ ๒:๑-๔ “เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์ มาถึง   จำพวกศิษย์จึงรวมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน  ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น  มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน  เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์   จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด” เมื่อเขาประกอบหรือเปี่ยมล้นไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆ   และในพระธรรมกิจการ ๘:๑๕-๑๗ “ครั้นเปโตรกับยอห์นไปถึงก็อธิษฐานเผื่อเขา   เพื่อให้เขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์  ด้วยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ได้เสด็จลงมาสถิตกับผู้ใด   เป็นแต่ได้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระเยซูเจ้าเท่านั้น(ในน้ำ)   เปโตรกับยอห์นจึงวางมือบนเขา   แล้วเขาทั้งหลายก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์” เมื่อเขาทั้งหลายได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์  ซีโมนได้เห็นว่าคนเหล่านั้นได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์   ถามว่าเขาเห็นอะไรและได้ยินอะไร  จึงรู้ว่าคนเหล่านั้นได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว  สิ่งนี้บ่งบอกให้รู้ว่าต้องมีบางสิ่งที่คนอื่นจะรู้และเห็นว่าเขาเหล่านั้นได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว  และในพระธรรมกิจการ ๑๐:๔๕-๔๖   “ฝ่ายพวกที่ได้เข้าสุหนัต ซึ่งเชื่อถือในพระเยซูเจ้า   คือที่มาด้วยกันกับเปโตรก็ประหลาดใจ   เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์   ให้ลงมาบนคนต่างชาติด้วย  เพราะเขาได้ยินคนเหล่านั้นพูดภาษาต่างๆ   และยกย่องสรรเสริญพระเจ้า   เปโตรจึงย้อนถามว่า “ใครอาจจะห้ามคนเหล่านี้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนเรา…” เขารู้ได้ว่าคนเหล่านั้นรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์เพราะเขาได้ยินคนเหล่านั้นพูดภาษาต่างๆ และในพระธรรมกิจการ ๑๙:๖ “เมื่อเปาโลได้วางมือบนเขาแล้ว   พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบนเขา   เขาจึงพูดภาษาแปลกๆ และได้ทำนายด้วย” เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาบนเขา  เขาจึงพูดภาษาแปลกๆ  การรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเห็นได้ชัดและเป็นประสบการณ์หนึ่ง โดยการพูดภาษาแปลกๆ   ดังนั้นจึงสามารถพูดได้ว่า “ภาษาแปลกๆ เป็นสัญลักษณ์”ของการรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์

ภาษาแปลกๆ  มี ๒ อย่าง คือ  ภาษาแปลกๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของการรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือทุกคนที่รับแล้วจะพูดได้แต่แปลไม่ได้   เมื่อเขาพูดด้วยใจอธิษฐานจะทำให้เขาได้รับการปลดปล่อยและนำเขาเข้าใกล้ชิดพระเจ้า  และจะช่วยเขาในเวลาอธิษฐานเป็นการส่วนตัวมากขึ้นตามที่อาจารย์เปาโลได้กล่าวไว้  ในพระธรรม ๑โครินธ์ ๑๔:๒, ๔-๕, ๑๘, ๒๒, ๒๘  เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใด  ที่พูดภาษาแปลกๆ ได้   ไม่ได้พูดกับมนุษย์   แต่ทูลต่อพระเจ้า   เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนใดเข้าใจได้   แต่เขาพูดเป็นความล้ำลึกฝ่ายพระวิญญาณ,ฝ่ายคนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้น   ก็ทำให้ตนเองเจริญฝ่ายเดียว   แต่ผู้เผยพระวจนะนั้นย่อมทำให้คริสตจักรจำเริญขึ้น   ข้าพเจ้าใคร่ให้ท่านทั้งหลาย   พูดภาษาแปลกๆ ได้   แต่ยิ่งกว่านั้นอีก   ข้าพเจ้าปรารถนาจะให้ท่านทั้งหลายเผยพระวจนะได้   เพราะว่าผู้เผยพระวจนะได้นั้นก็ใหญ่กว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆ ได้   เว้นแต่เขาสามารถแปลภาษานั้นๆ ออก   เพื่อคริสตจักรจะได้รับความเจริญขึ้น  ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า   ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ มากกว่าท่านทั้งหลายอีก  เหตุฉะนั้นการพูดภาษาแปลกๆ  จึงไม่เป็นหมายสำคัญแก่คนที่เชื่อแต่เป็นนิมิตแก่คนที่ไม่เชื่อ   แต่การเผยพระวจนะนั้น   ไม่ใช่สำหรับคนที่ไม่เชื่อ   แต่สำหรับคนที่เชื่อแล้ว  แต่ถ้าไม่มีผู้ใดแปลได้ก็ให้คนเหล่านั้นอยู่เงียบ ๆ  ในที่ประชุม   และให้พูดกับตัวเอง   และทูลต่อพระเจ้า” แต่สำหรับภาษาแปลกๆ ที่เป็นของประทานนั้นจะแปลได้ บางครั้งคนที่พูดก็แปลเองได้  หรือบางครั้งคนหนึ่งพูดและอีกคนหนึ่งแปลให้  ภาษาแปลกๆ ที่เป็นของประทานเป็นประโยชน์สำหรับคนอื่นจึงใช้ในที่ประชุมได้  เพื่อเสริมสร้างคริสตจักรตาม ๑โครินธ์ ๑๔:๒๗ “ถ้าผู้ใดจะพูดภาษาแปลกๆ   จงให้พูดเพียงสองคนหรืออย่างมากที่สุดก็สามคน   และให้พูดทีละคน   และให้อีกคนหนึ่งแปล” ๑โครินธ์ ๑๒:๑๐-๑๑“….และให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ   และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆ ได้  สิ่งสารพัดเหล่านี้  พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงบันดาลและประทานแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์” แต่ถ้าเป็นภาษาแปลกๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของการับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น เขาจะใช้คุยกับพระเจ้าเป็นส่วนตัว เพราะจะช่วยเขาเป็นให้จำเริญขึ้นฝ่ายเดียว

ความเข้าใจที่ว่าเมื่อเรารับเชื่อเราก็ได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วนั้น  หรืออาจเข้าใจเป็นว่าภาษาแปลกๆ  มีอย่างเดียวคือที่เป็นของประทานเท่านั้นเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง   ดังนั้นจึงมีคำสอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่พูดภาษาแปลกๆ ได้เพราะเป็นของประทาน  เพราะถ้าเป็นของประทานเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะมีของประทานอย่างเดียวกัน คือมีคนเป็นจำนวนมากในคริสตจักรเดียวที่พูดภาษาแปลกๆ แทบทุกคนแต่แปลไม่ได้   แต่ก็จะมีบางคนเท่านั้นที่แปลได้  เท่าที่ได้ตรวจดูในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ภาษาแปลกๆ มีสองอย่าง คือที่เป็นสัญลักษณ์ของการรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์คือ  ทุกคนที่รับจะพูดได้  แต่ที่เป็นของประทานนั้นไม่ใช่ทุกคนที่พูดได้   คือคนที่มีของประทานเท่านั้นที่พูดได้และแปลได้หรือคนที่มีของประทานในการแปลก็จะแปลให้ได้

๔.  ใครเป็นผู้ให้บัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ?

พระเยซูคริสต์เป็นผู้ให้ไม่ใช่มนุษย์   เพราะยอห์นได้พยากรณ์ไว้อย่างชัดเจน  ในพระธรรมมัทธิว ๑:๑๑ “เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ   แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง   แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา   ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก  ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะถอดฉลองพระบาทของพระองค์   พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลาย  รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ” มนุษย์เป็นผู้วางมือแต่พระเยซูเป็นผู้ให้   จึงไม่มีการบังคับหรือเคี่ยวเข็ญกันให้รับ  และภาษาแปลกๆ ก็ฝึกพูดไม่ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับพระเยซูคริสต์ผู้เดียว

๕.  เราจะรับได้อย่างไร ?

(๕.๑) เราต้องมีความหิวกระหาย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ  เราต้องมีความต้องการและปรารถนาจากหัวใจของเราอย่างแท้จริง  พระเจ้าไม่บังคับ   ต้องเป็นการแสวงหาด้วยการอธิษฐาน  ใช้เวลาจดจ่ออยู่กับพระเจ้า  ในพระธรรมกิจการ ๑:๑๓-๑๔  “เมื่อเข้ากรุงแล้วเขาเหล่านั้นจึงขึ้นไปยังห้องชั้นบนที่เคยพักอยู่นั้น  มีเปโตร  ยอห์น  ยากอบกับอันดรูว์  ฟีลิปกับโธมัส  บารโธโลมิวกับมัทธิว  ยากอบบุตรอัลเฟอัส  ซีโมน  พรรคชาตินิยม  กับยูดาสบุตรยากอบ   พวกเขาร่วมใจกันขะมักเขม้นอธิษฐานพร้อมกับพวกผู้หญิง   และมารีย์มารดาของพระเยซูและพวกน้องชายของพระองค์ด้วย” หลายคนไม่ได้รับเพราะเขาไม่ต้องการ ไม่แสวงหา ไม่เอาจริงเอาจัง และบางคนก็ไม่เห็นด้วยและแถมยังต่อต้านด้วยซ้ำ  เพราะพระเยซูทรงสัญญาไว้แล้วในพระธรรมมัทธิว ๗:๗-๘  “จงขอแล้วจะได้   จงหาแล้วจะพบ   จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน  เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้   ทุกคนที่แสวงหาก็พบ   ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา”

(๕.๒)  ให้ขอต่อพระเจ้า ในพระธรรมลูกา ๑๑:๑๓  “เพราะฉะนั้นถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน   ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด   พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์   จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์” มีบางคนชอบสรุปเอาง่ายๆ จากสายตาที่มองเห็นภายนอกว่า  อาการของคนที่รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั้นไม่ใช่มาจากพระเจ้า  และก็ไม่ใช่เป็นอาการของคนที่พระวิญญาณทรงสำแดงกับเขา  แต่เป็นอาการของคนที่ถูกผีเข้ามากกว่า  หากเราอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้แล้วและทำความเข้าใจให้ดี  เรากำลังเข้าใจพระเจ้าผิดไปจากความเป็นจริงตามที่พระวจนะกล่าวไว้แล้วว่า   ถ้าเราอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์มีหรือพระเจ้าจะทรงอนุญาตหรือให้วิญญาณชั่วเข้ามาแทนที่  เป็นไปไม่ได้  ให้เราไว้ใจในพระเจ้าว่า  “หากเราขอสิ่งใดเราจะได้ตามที่เราขอ” ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีและโดยเฉพาะเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า และการขอรับบัพติสมาในพระวิญญาณเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าอยู่แล้วสำหรับผู้เชื่อทุกคน  เป็นพระสัญญาที่จะให้กับทุกคนที่ขอและแสวงหาพระองค์อย่างจริงใจ

(๕.๓)  รอคอยพระองค์ ทำไมต้องรอคอยทั้งๆ ที่พระองค์เสด็จมาแล้ว  คอยเพื่อดูแรงจูงใจของเราว่ามาหาพระเจ้าและต้องการการเจิมของพระองค์ด้วยเหตุผลใด  ไม่ใช่แบบซีโมนในพระธรรมกิจการ ๘:๑๘-๑๙ “เมื่อซีโมนเห็นว่า   คนเหล่านั้นได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยการวางมือของอัครทูต  จึงนำเงินมาให้อัครทูต และว่า  ขอให้ข้าพเจ้ามีฤทธิ์อย่างนี้ด้วย   เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าจะวางมือบนผู้ใด   ผู้นั้นจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์”   เขาหวังที่จะรับฤทธิ์เดช ไปเพื่อเสริมบารมีของตน ดูเป็นผู้วิเศษมากขึ้น  และเพื่อผู้คนจะศรัทธาในตัวเขามากขึ้น  ผลที่ตามมาก็คือ เกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง ของเขานั่นเอง   การรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่เพื่อเสริมบารมีตัวเอง  หรือเพื่อตนจะเป็นผู้มีฤทธิ์เดช ทำการอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ แล้วคนจะได้ศรัทธา ยอมรับ นับถือผู้นั้น  แต่เพื่อปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์คือคริสตจักรนั่นเอง   ดังนั้นชีวิตเราทุกคนต้องได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เพื่อเป็นภาชนะที่พระเจ้าจะใช้การได้ในงานของพระองค์ให้เกิดผลเพื่อพระเจ้าไม่ใช่เพื่อตนเอง   ในพระธรรม๒โครินธ์ ๔:๗ “แต่ว่าเรามีของมีค่านี้อยู่ในภาชนะดิน   เพื่อให้เห็นว่า   ฤทธิ์เดชอันเลิศนั้นเป็นของพระเจ้า ไม่ได้มาจากตัวเราเอง” บางคนต้องคอยเพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจให้ถูกต้องหรือตรวจสอบแรงจูงใจอย่างถูกต้องก่อน  หรือบางคนยังไม่ได้รับก็เพราะยังขาดความเข้าใจ  ไม่มีการสอนในเรื่องนี้  คือไม่รู้ ดังเช่นผู้เชื่อที่เมืองเอเฟซัส   ในพระธรรมกิจการ๑๙:๑-๗ “เปาโลได้ไปตามที่ดอน   แล้วมายังเมืองเอเฟซัส   ท่านพบสาวกบางคนที่นั่น จึงถามเขาว่า  “เมื่อท่านทั้งหลายเชื่อนั้น  ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า”   เขาตอบว่า   “เปล่า   เรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเราก็ยังไม่เคยได้ยินเลย”  เปาโลจึงถามเขาว่า  “ถ้าอย่างนั้นท่านได้รับบัพติศมาอันใดเล่า”   เขาตอบว่า   “บัพติศมาของยอห์น” เปาโลจึงว่า  “ยอห์นให้รับบัพติศมาสำแดงถึงการกลับใจใหม่   แล้วบอกคนทั้งปวงให้เชื่อในพระองค์ผู้จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซู” เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น   เขาจึงรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูเจ้า เมื่อเปาโลได้วางมือบนเขาแล้ว   พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบนเขา   เขาจึงพูดภาษาแปลกๆและได้ทำนายด้วย คนเหล่านั้นมีประมาณสิบสองคน” เขาไม่เข้าใจจึงยังไม่ได้รับแต่พออาจารย์เปาโลอธิบายบอกให้เขาเข้าใจ  และได้วางมือบนเขา เขาจึงได้รับ  สำหรับบางคนก็ได้รับง่ายๆ หรือรับทันทีที่ขอ  เพราะในสมองไม่มีข้อมูลอะไรมากใจจึงจดจ่ออยู่กับพระเจ้า แต่คนที่มีข้อมูลในสมองเยอะเพราะรับเชื่อมานานแล้ว  เขาจะไม่จดจ่อเวลาอธิษฐานแต่จะจดจ่ออยู่ที่ข้อมูลในสมองของเขา  คนเหล่านี้จะรับยากมาก ส่วนผู้เชื่อใหม่ทุกคนที่ขอ  ส่วนมากก็จะได้รับทันที

(๕.๔) รับเองโดยไม่ต้องวางมือ และในเวลาเดียวกันก็มีการวางมือด้วยตัวอย่าง  สาวกผู้เชื่อที่บ้านนายร้อย โครเนริอัส ในพระธรรมกิจการ ๑๐:๔๔- ๔๖  “เมื่อเปโตรยังกล่าวคำเหล่านั้นอยู่   พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาสถิตกับคนทั้งปวงที่ฟังพระวจนะนั้น   ฝ่ายพวกที่ได้เข้าสุหนัตซึ่งเชื่อถือในพระเยซูเจ้า   คือที่มาด้วยกันกับเปโตรก็ประหลาดใจ   เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์  ให้ลงมาบนคนต่างชาติด้วย   เพราะเขาได้ยินคนเหล่านั้นพูดภาษาต่างๆ  และยกย่องสรรเสริญพระเจ้า…” คือขณะที่อัครทูตเปโตรเทศนาอยู่   พวกเขาฟังด้วยความเชื่ออย่างแรงกล้าในสิ่งที่ท่านเปโตรเทศนานั้น  พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงเสด็จมาบนเขา  คือบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับเขาในขณะที่นั่งฟังคำเทศนานั่นเองโดยไม่ต้องวางมือ   แต่ที่เมืองเอเฟซัสเขารับด้วยการวางมือของอาจารย์เปาโล  ในพระธรรมกิจการ ๑๙:๔-๕  “เปาโลจึงว่า “ยอห์นให้รับบัพติศมาสำแดงถึงการกลับใจใหม่   แล้วบอกคนทั้งปวงให้เชื่อในพระองค์ผู้จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซู”  เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น   เขาจึงรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูเจ้า   เมื่อเปาโลได้วางมือบนเขาแล้ว   พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบนเขา   เขาจึงพูดภาษาแปลกๆ และได้ทำนายด้วย” ขอเพียงมีความเชื่อว่าจะได้รับ  พระเจ้าจะทรงประทานให้ทุกคนที่ขอด้วยความเชื่อ

๖.  ขนาดของการเจิมไม่เท่ากัน

ผลต่างที่ชีวิตและความว่างเปล่าของภาชนะหมายถึง   ชีวิตที่บริสุทธิ์และการยอมจำนนต่อพระเจ้ามากน้อยเพียงไรในชีวิตของคนๆ นั้น  คือเขาได้ถวายชีวิตเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าแล้ว  ในพระธรรมโรม ๑๒:๑  “พี่น้องทั้งหลาย  ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า  ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์   เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า  ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย” และการเห็นคุณค่ามากน้อยเพียงไรในการที่จะรักษาการเจิมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์(บัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์) บางคนเมื่อได้รับไปแล้วก็ดับพระวิญญาณ  ในพระธรรม ๑เธสะโลนิกา ๕:๑๙ “อย่าดับพระวิญญาณ” โดยการไม่ได้ดำเนินชีวิตในพระวิญญาณคือ  การดำเนินชีวิตที่ไม่ได้ให้ผลของพระวิญญาณออกมาตามพระธรรมกาลาเทีย ๕:๒๒-๒๕  “ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น   คือความรัก   ความปลาบปลื้มใจ   สันติสุข   ความอดกลั้นใจ   ความปรานี   ความดี   ความสัตย์ซื่อ  ความสุภาพอ่อนน้อม   การรู้จักบังคับตน   เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย   ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยาก   และตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว   ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ  ก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย” แต่ตรงกันข้ามกลับไปทำบาปหรือไปดำเนินชีวิตตามเนื้อหนัง  ตามกิเลสตัณหาของตน  ไม่ได้ติดสนิทด้วยการอธิษฐานหรืออ่านพระคัมภีร์ ควรระมัดระวังในการดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ   ในพระธรรมกาลาเทีย ๕:๑๖-๑๗ จึงเตือนไว้ว่า  “แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า   จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ   อย่าสนองความต้องการของเนื้อหนัง   เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณ   และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง   เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน   ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนาทำจึงกระทำไม่ได้” มีคนเป็นจำนวนมากที่รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว   แต่ก็ยังไปดำเนินชีวิตตามอย่างโลกนี้  ตามกระแสและค่านิยมของโลกที่ขัดกับพระวจนะของพระเจ้าและต่อพระวิญญาณ  เขาจึงทำให้พระวิญญาณทรงเสียพระทัย  อาจารย์เปาโลจึงเตือนในพระธรรมโรม ๑๒:๒ ว่า “อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้   แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ   แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่   เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า  จะได้รู้ว่าอะไรดี  อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม” เมื่อเขาดำเนินชีวิตตามเนื้อหนังก็เป็นศัตรูต่อพระวิญญาณ  จึงทำให้เขาอ่อนแอลงฝ่ายวิญญาณพอนานวันเข้าการรับบัพติสมาในพระวิญญาณก็กลายเป็นประสบการณ์ในอดีตไป   เพราะเขาไม่ได้รักษาการเจิมไว้ด้วยการดำเนินชีวิตในพระวิญญาณแต่ดำเนินตามเนื้อหนัง   การอธิษฐานเป็นภาษาแปลกๆ ก็เลยกลายเป็นเหมือน เสียงฉิ่ง เสียงฉาบไป  ไม่ได้มีความหมายสำหรับเขา  และก็ไม่ได้เป็นการเสริมสร้างฝ่ายวิญญาณส่วนตัวของเขาอีกต่อไป  เหมือนชาวเมืองกาลาเทีย   ในพระธรรมกาลาเทีย ๓:๓-๕  “ท่านเขลาถึงเพียงนั้นทีเดียวหรือ   เมื่อท่านเริ่มต้นมาด้วยพระวิญญาณแล้ว   บัดนี้ท่านจะจบลงด้วยเนื้อหนังหรือ  ท่านได้รับประสบการณ์มากมายโดยไร้ประโยชน์หรือ   ถ้าเป็นการไร้ประโยชน์จริงๆ แล้ว พระองค์ผู้ทรงประทานพระวิญญาณแก่ท่าน   และทรงสำแดงอิทธิฤทธิ์ท่ามกลางพวกท่าน   ทรงกระทำการเช่นนั้นโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติหรือ   หรือโดยการฟังด้วยความเชื่อ” ปัญหาอยู่ที่คน  ไม่ใช่อยู่ที่ประสบการณ์ในพระวิญญาณบริสุทธิ์   สิ่งดีทุกอย่างมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น

๗.  เราจะรับบัพติสมาพระวิญญาณบริสุทธิ์เมื่อไร ?

(๗.๑)  บางคนรับพร้อมกับเมื่อมีใจเชื่อในพระเยซู ตัวอย่างที่บ้านนายร้อยโครเนริอัสขณะเมื่อเขาฟังพระวจนะจากท่านเปโตรและมีใจเชื่อ  พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบัพติสมาบนเขา  เขารับพร้อมกับรับเชื่อในพระเยซูคริสต์

(๗.๒)  บางคนรับเชื่อแล้วเมื่อเรียนเรื่องนี้เข้าใจแล้วก็รับได้ แต่ก็มีคริสเตียนอีกประเภทหนึ่งที่รับเชื่อแล้วแต่ก็ยังไม่ได้รับพระวิญญาณทันที  เพราะยังไม่ได้เรียนรู้ในเรื่องนี้หรือไม่ได้รับการสอน  แต่เมื่อเขาได้รับการเรียนรู้เรื่องนี้แล้วเขาก็รับได้  นั่นก็แล้วแต่คริสตจักรแต่ละแห่งจะเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ด้วย  ถ้าเห็นความสำคัญก็จะสอนแล้วให้สมาชิกมีประสบการณ์  แท้ที่จริงเรื่องของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่เรื่องของคณะนิกาย   แต่เป็นเรื่องระหว่างผู้เชื่อกับพระเจ้าโดยตรง เพราะพระเยซูทรงสัญญากับผู้เชื่อทุกคน  เมื่อเขาเชื่อแล้วเขาจะรับบัพติสมาสองอย่างคือ ในน้ำและในพระวิญญาณบริสุทธิ์

๘.  ผลของการรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบน และส่งลงมาจากพระบิดาแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระบิดาไม่มีการแปรปรวน หรือไม่มีเงาอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง

(๘.๑)  ความกล้าหาญและฤทธิ์เดชในการเป็นพยาน ในพระธรรมกิจการ ๑:๘ “แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช   เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน   และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม   ทั่วแคว้นยูเดีย   แคว้นสะมาเรีย   และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” นั่นคือจุดประสงค์ในการที่พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาบนผู้เชื่อทุกคน  เพื่อเขาจะมีความกล้าหาญในการประกาศข่าวประเสริฐ  เพื่อข่าวประเสริฐที่ประกาศออกไปนั้นจะประกอบด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ไม่ใช่ด้วยปัญญาความรู้ของมนุษย์เท่านั้น  และในพระธรรมโรม ๑:๑๖ “เพราะว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ   เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า   เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด   พวกยิวก่อน   แล้วพวกต่างชาติด้วย”   การที่คนหนึ่งคนใดจะรับเชื่อในพระเยซูคริสต์นั้น ไม่ได้เกิดจากการเกลี้ยกล่อมด้วยวาจาของมนุษย์   แต่เป็นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในใจผู้นั้นที่กำลังฟังข่าวประเสริฐ และพระเจ้าก็ทรงรับรองข่าวประเสริฐที่เขาประกาศนั้นด้วยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ  ตามพระสัญญาที่ทรงสัญญาไว้ ในพระธรรมมาระโก ๑๖:๑๗-๑๘ ว่า “ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า ‘เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก   ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน  ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด   แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ  มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น   คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา   เขาจะพูดภาษาแปลกๆ  เขาจะจับงูได้   ถ้าเขากินยาพิษอย่างใด   จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา   และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย   แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค” พระเยซูจึงทรงกำชับสาวกของพระองค์ไม่ให้ออกไปไหน  แต่ให้รอคอยที่จะรับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  ก่อนที่เขาจะออกไปประกาศเป็นพยานฝ่ายพระองค์และเพื่อการรับใช้ปรนนิบัติในพระราชกิจต่าง ๆ

(๘.๒)   ความยำเกรงพระเจ้า,  การเชื่อฟังและมีใจกว้างขวาง,พระเจ้านำคนเข้ามาเชื่อ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในใจผู้ที่รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์  และรวมไปถึงการหิวกระหายในการสรรเสริญนมัสการ การอธิษฐานในชีวิตประจำวันของเขาด้วย ในพระธรรมกิจการ ๒:๔๓-๔๗ “เขามีความเกรงกลัวด้วยกันทุกคน   และพวกอัครทูตทำการอัศจรรย์   และหมายสำคัญหลายประการ  บรรดาผู้ที่เชื่อถือนั้นก็อยู่พร้อมกัน ณ ที่แห่งเดียว   และทรัพย์สิ่งของของเขาเหล่านั้นเขาเอามารวมกันเป็นของกลาง   เขาจึงได้ขายที่ดินและทรัพย์สิ่งของ   มาแบ่งให้แก่คนทั้งปวงตามซึ่งทุกคนต้องการ  เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหาร   และหักขนมปังตามบ้านของเขา   ร่วมรับประทานอาหารด้วยความชื่นชมยินดีและใจกว้างขวาง   ทุกวันเรื่อยไป   ทั้งได้สรรเสริญพระเจ้าและคนทั้งปวงก็ชอบใจ   ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า   ได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลายซึ่งกำลังจะรอด   มาเข้ากับพวกสาวกทุกวันๆ” นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่ผู้เชื่อภายหลังเขาได้รับการเต็มล้นไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  เขาเกรงกลัวพระเจ้าและเชื่อฟังคำสอนของอัครสาวกและมีความรัก  ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันตลอดทั้งมีใจเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันและกันต่อพระราชกิจของพระเจ้า   เขาทั้งหลายได้ถวายด้วยใจกว้างขวาง   เมื่อชีวิตผู้เชื่อเป็นเช่นนี้พระเจ้าก็ทรงนำคนเข้ามารับความรอดทุกวัน   นี่คือการเพิ่มพูนคริสตจักรด้วยการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์  รวมถึงบรรยากาศในคริสตจักรจะเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี ความกระตือรือร้นในการรับใช้พระเจ้า

(๘.๓)  ได้รับของประทานในการรับใช้ ๙  อย่าง ในพระธรรม ๑โครินธ์ ๑๒:๘-๑๑ “พระเจ้าทรงโปรดประทานโดยทางพระวิญญาณ  ให้คนหนึ่งมีถ้อยคำประกอบด้วยสติปัญญา   และให้อีกคนหนึ่งมีถ้อยคำอันประกอบด้วยความรู้   แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน  และให้อีกคนหนึ่งมีความเชื่อ   แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน   และให้อีกคนหนึ่งมีความสามารถรักษาคนป่วยได้   แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน  และให้อีกคนหนึ่งทำการอิทธิฤทธิ์ต่างๆ   และให้อีกคนหนึ่งเผยพระวจนะได้   และให้อีกคนหนึ่งรู้จักสังเกตวิญญาณต่างๆ  และให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ   และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆได้  สิ่งสารพัดเหล่านี้   พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงบันดาลและประทานแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์” พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เพียงที่จะช่วยให้เรามีความกล้าหาญในการประกาศข่าวประเสริฐเท่านั้น   พระองค์ยังทรงประทานของประทานให้แก่ผู้เชื่อในการเสริมสร้างคริสตจักรให้จำเริญขึ้นอีกด้วย    นี่คือของประทาน ๙ อย่างที่พระวิญญาณบริสุทธ์ทรงประทานให้แก่ผู้ที่ได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธ์ แต่ก็น่าเสียดายที่คริสเตียนเป็นจำนวนมากที่จบลงที่กิเลสตัณหาของตน   คือเพียงต้องการได้รับการเจิมเพื่อให้ตนรู้สึกดี  มีสันติสุขได้รับการปลดปล่อยจากปัญหา ได้แสดงออกทางกายภาพ เพราะจะเหมือนคนเมาเหล้า  คนที่ดื่มเหล้าเขาจะชอบตอนที่กล้าแสดงออกตอนเมาไม่ใช่เพราะดื่มในรสชาติ ในพระธรรมเอเฟซัส ๕:๑๘ “และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน   แต่จงประกอบด้วยพระวิญญาณ” พระธรรมตอนนี้จึงได้เปรียบเทียบการเต็มล้นไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนคนที่เมาเหล้า  คือลักษณะเหมือนคนเมาจึงทำให้เกิดมีการเข้าใจผิดขึ้นในพระธรรมกิจการ ๒:๑๓ “แต่บางคนเยาะเย้ยว่า  คนเหล่านั้นเมาเหล้าองุ่นใหม่” และเมื่อคนเห็นสาวกรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาก็มองเป็นคนเมาเหล้า  พวกเขาได้รับการปลดปล่อยในการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  การอธิษฐานด้วยใจร้อนรน  การนมัสการที่แสดงออกทางกายด้วย  คือ ได้รับการปลดปล่อยอย่างเต็มที่  รวมถึงการร้องไห้  การหัวเราะอย่างชื่นชมยินดีจึงทำให้คนมักเข้าใจผิดคิดว่าคนเหล่านั้นเมา   แต่คริสเตียนเป็นจำนวนมากก็จะจบลงเพียงเท่านี้  เขาไม่ก้าวต่อไปให้พระวิญญาณนำในชีวิตของเขาที่จะมีผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์และของประทานออกมาในการรับใช้เพื่อเสริมสร้างคริสตจักรให้โตขึ้น  รวมทั้งตัวของเขาเองด้วย   เราจะต้องโตขึ้น มีชีวิตที่แสดงผลของพระวิญญาณออกมาและรวมไปถึงการรับใช้ตามของประทานที่เกิดผล  ไม่ใช่เน้นอาการภายนอกเบื้องต้นที่ซ้ำซาก  แต่แสวงหาของประทานเพื่อจะรับใช้พระเจ้า เพื่อให้คริสตจักรเจริญขึ้น  ในพระธรรม ๑โครินธ์ ๑๔:๑๒ “เหตุฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายกำลังร้อนใจแสวงหาของประทานฝ่ายพระวิญญาณแล้ว   ก็จงอุตส่าห์กระทำตัวของท่าน   ให้สามารถที่จะทำให้คริสตจักรจำเริญขึ้น” และยิ่งกว่านั้นไม่ทำให้เกิดปัญหาเหมือนคริสตจักรในโครินธ์  ที่เน้นแต่ของประทานอย่างเดียวมากเกินไป  คือเฉพาะภาษาแปลกๆ  หรือเน้นแต่ของประทานที่ตนมีประสบการณ์เท่านั้นว่าดีเยี่ยมกว่าใคร  ของคนอื่น ที่ไม่มี  ด้อยกว่า หรือใช้ไม่ได้   ควรรับใช้ตามของประทานที่พระเจ้าทรงประทานให้  ไม่พยายามที่จะตามแบบอย่างคนอื่นๆ  แต่จะพัฒนาของประทานของตนเพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์  การที่จะได้ร่วมเสริมสร้างในพระกายนั้น  เราต้องเข้าร่วมสามัคคีธรรมคือเข้าร่วมกิจกรรมในคริสตจักร เข้าร่วมกลุ่มย่อย  เข้าหาคนอื่น  มีชีวิตที่สนใจ ห่วงใยและคลุกคลีกับคนอื่น ของประทานทุกอย่างที่พระเจ้าให้กับผู้เชื่อทุกคนนั้นก็เพื่อเสริมสร้างผู้อื่นทั้งนั้น  หลายคนมีของประทานแต่ไม่ได้ใช้เพราะเขาไม่ยอมที่จะใช้ชีวิตสนิทสนมกับคนอื่นและผูกพันตัวเองกับคริสตจักร  จึงจบลงที่ประสบการณ์เบื้องต้นเท่านั้น

ช.  ประการที่เจ็ด  ถูกชำระด้วยลมและไฟ

ในพระธรรมมัทธิว ๓:๑๒ “พระหัตถ์ของพระเจ้าถือพลั่ว พร้อมแล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว พระองค์จะทรงเก็บข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ” ถ้าคนที่ไม่ใช่ชาวไร่ชาวนาและยิ่งไม่ใช่ชาวนาในอดีตด้วยแล้วจะกกจจจจจจจะไม่เข้าใจในเรื่องนี้เลย   ในสมัยก่อนที่ยังไม่ใช้เครื่องจักรกลเข้ามาช่วยในการเก็บเกี่ยวข้าว  การเก็บเกี่ยวข้าวเข้ายุ้งฉางนั้นจะมีกระบวนการหลายขั้นตอนด้วยกัน  เช่นเมื่อเกี่ยวข้าวแล้วขั้นแรก  คือถ้ามีข้าวละมานที่ปนอยู่เขาก็จะคัดออกไป  ไม่เอาแต่จะเก็บเอาไปกองไว้ต่างหากไม่ให้ปนกับข้าวดี  พอแห้งแล้วเขาก็จะเผาทิ้งเสียเกรงว่ามันจะขึ้นมามากกว่าเดิมถ้าเมล็ดยังอยู่   คือต้องเผาทิ้งสถานเดียวแม้เป็ดหรือไก่ที่เป็นสัตว์เลี้ยง  มันยังไม่กินเลย  และข้าวดีก็จะวางไว้เป็นฟ่อนๆ อย่างมีระเบียบบนตอข้าว  เมื่อเกี่ยวเสร็จก็จะรอสักระยะหนึ่งก็จะรวบรวมไปกองไว้เป็นระเบียบเพื่อรอให้ข้าวแห้งพอ เพราะเมื่อฟาดหรือตีเมล็ดออกจะได้หลุดง่าย ๆ และเพื่อไม่ให้เกิดเชื้อราด้วย   หลังจากนั้นเขาก็จะเตรียมลานข้าวคือเตรียมกรุยดินให้เรียบและกว้างพอสมควร  หลังจากนั้นก็จะเอามูลควายไปผสมกับน้ำและฟางที่สับละเอียด  แล้วนำไปเทลาดลงบนดินที่เกลี่ยไว้แล้วกวาดให้เรียบ  ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วมันจะคล้ายกับฉาบด้วยปูนแข็งเรียบไม่ร่อนถ้าไม่โดนน้ำ   เพราะเมื่อทำเสร็จก็จะได้กลายเป็นปุ๋ยเลย   แต่ถ้าใช้ปูนซีเมนต์จะเสียเวลาทุบและโกยทิ้ง  หลังจากนั้นเขาก็จะเอากระบุง(็็็ภาษาเหนือเรียกว่า คุ) สูงประมาณเมตรกว่า  และปากกว้างประมาณ ๒- ๓ เมตร มาวางใกล้ๆ กับลานข้าว  และก็ใช้ไม้ที่ผูกด้วยหนังวัวหนีบเอาฟ่อนข้าวแล้วฟาดหรือตีลงบนกระบุงนั้น  พอตีเต็มกระบุงแล้วก็เป็นขั้นตอนที่จะเก็บข้าวเข้ายุ้งฉาง  เขาก็จะใช้พลั่วที่ทำด้วยไม้แผ่นเดียวและมีก้านยาว  และคนนั้นก็จะไปยืนบนกระบุงและใช้พลั่วตักข้าวโยนลงไปที่ลาน(ต้องทำตอนมีลม)  ข้าวดีก็จะตกที่ลาน ข้าวลีบและฟางหญ้าก็จะปลิวลมไปกองอีกด้านหนึ่งตามแรงลม  หลังจากนั้นจึงจะตักข้าวที่ชำระด้วยลมขึ้นเกวียนลากไปไว้เก็บในยุ้งฉาง  นี่คือกระบวนการการเลือกสรรเก็บข้าวไว้ของมนุษย์  แล้ววิธีการของพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน  เหตุการณ์นี้เป็นเหมือนการแยก  การชำระให้สะอาด  การพิพากษาคนในโลกนี้และรวมไปถึงคริสเตียนด้วย ในเรื่องนี้ก็คล้ายกันกับเรื่องอวนที่ลากปลามาเป็นจำนวนมาก อวนเป็นเหมือนคริสตจักรที่นำคนเป็นจำนวนมากเข้ามาในคริสตจักร  และหลังจากนั้นก็จะมีการคัดปลา  เอาปลาที่ต้องการเท่านั้น ปลาที่ไม่ต้องการก็โยนทิ้งไป  พระเยซูคริสต์จะเป็นผู้คัดปลาและชำระลานข้าว  เราทั้งหลายที่เชื่ออยู่ในคริสตจักรก็เป็นเหมือนปลาและข้าวที่ต้องถูกคัดและชำระให้สะอาด  ไม่ใช่ทุกคนที่อยู่ในคริสตจักรจะเป็นปลาที่พระเยซูทรงประสงค์ทั้งหมด  ต่างก็จะต้องถูกคัดอีกครั้งหนึ่ง  อันที่จริงกระบวนการการชำระก็เริ่มขึ้นแล้ว  ไม่ต้องรอวันสุดท้ายคือวันพิพากษาหากจะสังเกตดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคริสตจักรหรือท่ามกลางผู้เชื่อ

๑.  สาเหตุที่ต้องชำระ

(๑.๑)  ข้าวกลายพันธุ์ เหมือนชาวนาก่อนปลูกก็คัดสรรเมล็ดพันธุ์แล้ว  แต่ก็ยังมีข้าวที่ไม่ดีซึ่งนำมารับประทานไม่ได้เพราะมันแข็งมากหรือไม่สมบูรณ์ปะปน ต้องคัดสายพันธุ์ทุกปีเพราะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น  จึงทำให้ข้าวไม่ดีแปลกปลอมเข้ามาได้  เป็นฝีมือของใคร ?  ในพระธรรมมัทธิว ๑๓:๒๔-๓๐ “พระองค์ตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า   “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือน   คนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน  แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่   ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีนั้นไว้แล้วก็หลบไป  ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว  ข้าวละมานก็ขึ้นปรากฏด้วย  ทาสแห่งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า‘นายเจ้าข้า   ท่านได้หว่านพืชดีไว้ในนาของท่านมิใช่หรือ   แต่มีข้าวละมานมาจากไหน’  นายก็ตอบว่า   ‘นี่เป็นการกระทำของศัตรู’   พวกทาสจึงถามว่า   ‘ท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปถอนและเก็บข้าวละมานหรือ’    แต่นายตอบว่า   ‘อย่าเลยเกลือกว่า   เมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย  ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว   และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า   ‘จงเก็บข้าวละมานก่อน   มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย   แต่ข้าวดีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา’ ” เช่นเดียวกับคนเป็นจำนวนมากที่มาเชื่อรับความรอดแล้ว และเรียกตัวเองว่าคริสเตียน   สำหรับแรงจูงใจไม่ใช่ทุกคนที่ปรารถนาจะมีชีวิตใหม่  หรือต้องการการเปลี่ยนแปลงชีวิตแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งก็อาจมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ตอนต้นๆ ร้อนรนเอาจริงเอาจัง  พอเป็นคริสเตียนไปนานๆ เข้า   ๒ ปี, ๔ ปี, ๑๒ ปี, ๒๐ ปี, ๓๐, ๔๐…ปี บางคนอาจจะไม่ถึง  และได้รับพระวจนะที่เป็นเหมือนเมล็ดข้าวที่ดีเข้ามาปลูกฝังในชีวิต  แต่ในเวลาเดียวกันก็ปล่อยโอกาสให้มารเข้ามาหว่านเมล็ดไม่ดีเข้ามาในใจ  แย่ไปกว่านั้นคือมารยังจิกเมล็ดที่ดีออกไปจากชีวิตอีก  จึงเริ่มเป็นคริสเตียนกลายพันธุ์ไป  แทนที่อายุการเป็นคริสเตียนของเขาที่นานวันเข้าเท่าไรจะยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้น  รักพระเจ้ามากขึ้น  รับใช้มากขึ้น  ถ่อมใจลงมากขึ้น เชื่อฟังมากขึ้น ทำบาปน้อยลง  เป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น  แต่กลับตรงกันข้าม  ซึ่งแต่ละคนต้องมาวิเคราะห์ชีวิตคริสเตียนตนเอง อย่ามัวแต่ไปวิเคราะห์ผู้อื่น  ว่าบัดนี้ชีวิตคริสเตียนเริ่มเจริญขึ้นหรือถอยหลัง  เคยร้อนรนตอนนี้เป็นอย่างไร  เคยรับใช้อย่างแข็งขันเกิดผลบัดนี้เป็นอย่างไร  เคยรักพระเจ้าเสียสละบัดนี้ก้าวหน้าหรือถอยหลัง  มีคนบอกว่าเป็นคริสเตียนนานๆ ต้องระวังเชื้อของฟาริสี  คือจะกลายเป็นคริสเตียนฟาริสี  ชอบคอยตำหนิติเตียนคนอื่น  จับผิดคนอื่น  วิพากวิจารณ์ชีวิตและการรับใช้ของคนอื่น หรือบางทีต่อหน้าคนก็ทำตัวดูเป็นคนชอบธรรม  แต่ลับหลังกลับน่ากลัวเต็มไปด้วยการหน้าไหว้หลังหลอก  เป็นพวกที่มีแต่คำพูด  รู้พระวจนะแต่ไม่ทำตาม  เที่ยวไปสั่งสอนแต่คนอื่น  แต่ไม่ใส่ใจในพฤติกรรมของตน  เป็นหินสะดุดในคริสตจักร  ซึ่งเราต้องระวังที่จะไม่กลับกลายเป็นเช่นนั้น  ความรักที่มีต่อพระเจ้ามันจืดจางลงและมีสิ่งอื่นมาแทนที่ไหม   รับใช้น้อยลงแต่ใช้พระเจ้ามากขึ้นหรือเปล่า   หยิ่งผยองจองหองพองขนไม่หวั่นเกรงใคร  ไม่มีใครกล้าแตะต้องไหม  ใจแข็งกระด้างไม่มีท่าทีตอบสนองพระวจนะเลย  ทำบาปไม่รู้สึกผิด เฉยๆ ตายในบาป ไม่ยำเกรงพระเจ้า  และคริสตจักรที่มีอายุนานๆ ก็ต้องระวัง  บางทีก็เต็มไปด้วยการแตกแยก แบ่งกันเป็นก๊กเป็นเหล่า ทะเลาะกัน  อิจฉากัน  ชิงดีชิงเด่นกัน  การปรนนิบัติรับใช้กลายเป็นการแสวงหาเกียรติ   หากคริสตจักรเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้หรือคนเช่นนี้ก็ยากที่จะเข้าแผ่นดินของพระเจ้า   พระองค์ต้องเข้ามาแยกคัดและชำระก่อนอย่างแน่นอน  เพื่อจะได้ข้าวดี (คนดีพร้อม)  เข้าไปในแผ่นดินของพระองค์  ต้องระวัง ! ที่จะไม่เป็นคริสเตียนกลายพันธุ์

(๑.๒)  ชีวิตที่พลาดพลั้ง ชีวิตคริสเตียนทุกคนเมื่อมาเชื่อแล้วจะได้รับการชำระบาปในอดีตและปัจจุบันแล้ว  แต่ชีวิตภายหลังจากเชื่อนั้นสำคัญว่าจะดำเนินชีวิตไปอย่างไร   จะยังดำเนินไปเหมือนเดิมหรือไม่   ยังพูด, ทำ, รวมทั้งตอบสนองต่อเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันเหมือเดิมอยู่หรือไม่  เราควรเริ่มต้นดี และที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า  โดยการเรียนรู้จากพระคำของพระองค์และเรียนรู้ที่จะกระทำตามไม่หวนกลับไปหาชีวิตเดิมอีก  ดังเช่นชนชาติอิสราเอลที่ออกจากการเป็นทาสในอียิปต์แล้ว  เมื่อเขาเดินทางไปเรื่อยๆ เริ่มจะพบกับปัญหาเรื่องปัจจัย  พวกเขากระหายน้ำ สิ่งแวดล้อมคืออากาศร้อนทำให้การเดินทางเหน็ดเหนื่อย  เขาเริ่มท้ออยากกลับไปอียิปต์  ไม่ต้องดิ้นรนอะไร  ดำเนินชีวิตเป็นทาสตามคำสั่งดีกว่า  เขาเริ่มบ่นและไม่ต้องการที่จะเข้าสู่แผ่นดินตามพระสัญญาแล้ว  ไม่สนใจสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ว่าเขาจะพบอะไรในแผ่นดินที่พระเจ้ากำลังพาไป  บางครั้งชีวิตคริสเตียนก็ไม่ต่างจากชนชาติอิสราเอล  เพราะพระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าในโลกนี้ชีวิตเราจะไม่พบกับปัญหา  และความทุกข์ยากลำบาก ตรงกันข้าม ยากอบ ๑.๒ – ๔ ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า   เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ   ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี 3เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า   การทดลองความเชื่อของท่านนั้น   ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง4และจงให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์   เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม   มีคุณสมบัติครบถ้วน   ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย ” แต่พระองค์จะทรงช่วยเราให้ผ่านปัญหาไปได้ต่างหาก  ดังนั้นเมื่อเราเดินกับพระเจ้า  เมื่อพบกับปัญหาในการดำเนินชีวิตเช่น  ในครอบครัว ในสังคม ในคริสตจักรหรือรอบด้าน  เราเริ่มจะเห็นว่าการดำเนินชีวิต คริสเตียนนั้นมันยากเหลือเกิน  เพราะต้องสวนกระแสของโลก  ยากเหลือเกินที่จะทำตามคำสอนในพระคัมภีร์  เราเริ่มท้ออยากจะกลับไปทางเดิมที่เคยเป็นคือทางโลก  เพราะมันง่ายกว่า คือปล่อยชีวิตไปตามกระแส ไม่ต้องสวนกระแส  บางทีก็พลาดพลั้งล้มลงในบาปเพราะพ่ายแพ้ต่อการทดลอง  จึงกลับไปเป็นทาสบาปอีก  ทางฝ่ายร่างกายบางทีอาจจะกลับไปหาสิ่งที่เคยเสพติดมาก่อนและกลับเป็นทาสมันอีก  จิตใจที่เคยพ้นจากรากขมขื่นแล้วมีความรักและการให้อภัยเสมอ  เริ่มอ่อนแอกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก แถมรากขมขื่นใหม่เริ่มงอกขึ้นมาอีก  และบางครั้งพระเจ้าต้องเข้ามาจัดการในชีวิตเราโดยใช้เหตุการณ์ให้เกิดขึ้นเพื่อเราจะได้สำนึกผิดกลับใจจากการกระทำเหล่านั้น  หรือบางทีก็เพื่อฟื้นฟูจิตใจของเราให้กลับมาที่เดิม  และเริ่มติดตามพระเจ้าต่อไปเพื่อจะไม่กลับไปเป็นทาสอีก  และรับการเปลี่ยนใหม่จากพระเจ้า  ชีวิตคริสเตียนขณะที่ดำเนินกับพระเจ้านั้นยังไม่สมบูรณ์ครบถ้วน  ซึ่งจะต้องเข้าสู่กระบวนการชำระจากพระเจ้าในการดำเนินชีวิตประจำวัน   และจะต้องเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนตามพระวจนะเพื่อจะได้ประพฤติอย่างถูกต้อง  หากใครคิดว่าตนสมบูรณ์แล้วหลังรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ โดยที่ไม่ต้องกระทำอะไรอีกแล้ว  คือไม่ต้องเรียนพระคัมภีร์  ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง แต่ก่อนเคยดำเนินชีวิตอย่างไรเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น   เรากำลังเข้าใจผิดอย่างมหันต์  ชีวิตคริสเตียนต้องเปลี่ยนแปลงตลอดตราบเท่าที่เรายังดำเนินกับพระเจ้าทุกวันจนวันสุดท้ายที่เราไปอยู่กับพระเจ้า  หรือวันที่พระเยซูเสด็จมาครั้งที่สอง เราต้องเรียนรู้ที่จะปรับปรุงแก้ไขนิสัยหรือการการะทำที่ไม่ถูกต้องทุกวัน  การเรียนพระวจนะยังจำเป็นสำหรับเราทุกวัน ซึ่งเป็นเหมือนอาหารฝ่ายวิญญาณ เพราะตราบใดที่ยังไม่สมบูรณ์ก็ต้องเรียนรู้เพื่อจะนำมาปรับปรุงแก้ไขตนเองอยู่เสมอ  ถ้าหยุดการเรียนรู้พระวจนะเมื่อไรก็เท่ากับการหยุดชีวิตที่จะเปลี่ยนแปลง คือฝ่ายวิญญาณก็จะขาดอาหาร และเริ่มอ่อนแอลง  เพราะการเรียนรู้พระวจนะจุดมุ่งหมายหลักก็คือเพื่อจะนำไปปฏิบัติตาม ไม่มีใครที่รู้หมดแล้วในพระวจนะ  หรือมากไปกว่านั้นหากจะถามว่า ปฏิบัติได้หมดหรือยัง   แน่นอน  ยังไม่มีใครที่จะกระทำตามได้หมดครบถ้วน

๒.  วิธีการชำระของพระเจ้า เครื่องมือของพระจ้าก็คือพลั่วและลม   พลั่วจะตักและโยนขึ้น  พลั่วเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น  แต่ลมเป็นธรรมชาติ  ปัญหาความทุกข์ยากลำบาก  การทดลองที่มาถึงชีวิตของเรามีที่มา  ๒ ทางด้วยกัน  คือ

(๒.๑)  ทางแรก (ปัญหาจากความผิดพลาดของมนุษย์)

ปัญหาความทุกข์ยากลำบากทุกอย่างมาจากความผิดพลาดในการดำเนินชีวิตคริสเตียน  พระเจ้าไม่ได้นำมาให้เรา   พระเจ้าเป็นความรักบริสุทธิ์และดีครบถ้วน   พระองค์ล้วนประกอบการดีเสมอ  สิ่งดีทุกอย่างมาจากพระเจ้า  สิ่งที่ไม่ดีไม่ได้มาจากพระเจ้า  หลายครั้งสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับชีวิตผู้เชื่อมาจากการกระทำของตนเอง  ปัญหาบางครั้งเขาเป็นผู้ก่อเพราะเนิ่งมาจากไม่ได้เลือกดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าทรงสอนไว้   บางครั้งก็ทำบาปหรือบางทีเราก็พ่ายแพ้ต่อการทดลอง  เกิดการผิดพลาด เพราะหลายครั้งไม่ว่าจะทำอะไรเราไม่ค่อยจะปรึกษาคนของพระเจ้า และ อธิษฐานแสวงหาพระเจ้า หรือไม่รอคอยพระเจ้า จึงผิดพลาด และเมื่อตนต้องเก็บเกี่ยวผลของการกระทำในเหตุการณ์นั้นๆ ที่ไม่ดี  แทนที่เขาจะเห็นถึงความบกพร่องและการกระทำของตนเองกลับโทษพระเจ้าใน สุภาษิต ๑๙.๓ “ เมื่อความโง่ของคนใดนำความพินาศมาถึงเขา    ใจของเขาก็เกรี้ยวกราดต่อพระเจ้า ” ดังนั้นในทุกสถานการณ์ จะต้องเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่มา ว่าทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น อะไรเป็นสาเหตุ หรือต้นตอของมัน อย่าด่วนที่จะสรุปที่จะโทษผู้อื่นหรือพระเจ้า
(๒.๒)  ทางที่สอง เป็นปกติธรรมชาติความเป็นมนุษย์ ปัญหาจากความทุกข์ยากลำบากที่เกิดกับทุกคนมี  ๒ ประเภท

ประเภทแรก ปัญหาความทุกข์ยากลำบากและการทดลองเกิดกับทุกคนที่เชื่อเพื่อทดสอบความเชื่อของเขา  ตามพระธรรม ๑เปโตร ๑:๖-๗ “ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี   ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้   จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ   เพื่อการลองดูความเชื่อของท่าน   อันประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ   ซึ่งแม้เสียไปได้ก็ยังถูกลองด้วยไฟ   จะได้เป็นเหตุให้เกิดความสรรเสริญ   เกิดศักดิ์ศรีและเกียรติ   ในเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาปรากฏ” และในพระธรรม ๑โครินธ์ ๑๐:๑๓  “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่าน  นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย   พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม   พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้   และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น   พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย   เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้” ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ไม่ได้บอกว่ามาจากพระเจ้า  แต่พระเจ้าทรงใช้เหตุการณ์เหล่านี้ซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลายที่เชื่อ  เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้เชื่อเข้มแข็งเมื่อเขาผ่านปัญหาเหล่านั้นได้ไปด้วยการพึ่งพาในพระเจ้าและมีชัยชนะ  เขาจะได้เติบโตขึ้นไปอีกระดับหนึ่งเมื่อเขาเผชิญปัญหาความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ไปได้ด้วยดี หากเรารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะความผิดพลาดของเรา  แต่เพราะเนื่องมาจากการที่ยืนหยัดในความเชื่อและเป็นการเชื่อฟังทำตามพระคำของพระเจ้า  ขอให้ไว้วางใจในพระเจ้า  และเชื่อในพระองค์ว่าจะทรงช่วยให้มีทางหลีกเลี่ยงได้  มีหนทาง มีกำลัง ที่จะทนได้  และจะผ่านไปได้ด้วยการช่วยเหลือของพระเจ้าอย่างแน่นอนตามพระสัญญาของพระองค์

ประเภทที่สอง ปัญหาความยากลำบากซึ่งเป็นความทุกข์  ความสูญเสียซึ่งมันเกิดขึ้นปกติกับทุกคนในโลกนี้อยู่แล้ว  เช่น ความเจ็บป่วย  ความตาย  การสูญเสียจากภัยธรรมชาติต่างๆ  ความผิดหวัง หลังการเป็นคริสเตียนสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นก็ไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติ  เพราะเราอยู่ในโลกนี้ที่ต้องเผชิญ  แต่ภายหลังที่มันผ่านชีวิตเราไปผลที่ตามมาต่างหากสำคัญ  มันส่งผลให้ชีวิตเราดีขึ้น หรือนำความตกต่ำหรือสูญเสียมาในชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา  คริสเตียนจะมองเหตุการณ์เหล่านี้ไม่เหมือนกับคนที่ไม่เชื่อมอง บางครั้งพระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้คนของพระองค์ที่จะมองไปที่สิ่งนิรันดร์ คือสิ่งที่อยู่เบื้องบนซึ่งพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์มากกว่า แทนที่จะติดกับสิ่งของในโลกนี้  เมื่อผ่านเหตุการณ์เหล่านี้จะเป็นผลพิสูจน์ว่าฝ่ายวิญญาณเป็นเช่นไร  มีชีวิตที่เข้มแข็งขึ้นฝ่ายวิญญาณ หรืออ่อนแอและความเชื่อถอยลง  มีชัยชนะหรือพ่ายแพ้  มีเสรีภาพหรือตกเป็นทาส รักพระเจ้ามากขึ้นหรือน้อยลง  เชื่อฟังพระคัมภีร์มากขึ้นหรือทำผิดกฎมากขึ้น  จงประเมินความเสียหายทุกสถานการณ์และทุกเหตุการณ์ตลอดทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา  เพื่อจะทำให้เราเข้ามาใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น หรือถอยออกห่างจากพระองค์ เพื่อจะเห็นคุณค่าชีวิตนิรันดร์และสิ่งที่เป็นนิรันดร์มากขึ้น โดยไม่ยึดติดกับสิ่งของในโลกที่เป็นอนิจจัง

๓.  สิ่งที่ต้องชำระ คือการกระทำ และผลงาน ก่อนถึงวันพิพากษาใหญ่ก็มีการพิสูจน์ย่อยเกิดขึ้นเป็นระยะ  วันเวลาจะทำให้เราเห็นชัดเจน ในพระธรรม ๑โครินธ์ ๓:๑๓  “การงานของแต่ละคนก็จะได้ปรากฏให้เห็น  เพราะวันเวลาจะให้เห็นได้ชัดเจน เพราะว่าจะเห็นชัดได้ด้วยไฟ   ไฟนั้นจะพิสูจน์ให้เห็นการงานของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร” คนเราจะหลอกคนอื่นได้ไม่นาน ทองแท้แม้เผาด้วยไฟก็ยิ่งบริสุทธิ์  หากเจอความร้อนบ่อยๆ ธาตุแท้ เนื้อแท้ของจริงก็จะออกมาให้เห็น  เราเป็นคนอย่างไร  มีแรงจูงใจอย่างไรในการกระทำทุกอย่าง  ตลอดทั้งการปรนนิบัติพระเจ้าด้วยก็จะปรากฏออกมาให้เห็นด้วยวันเวลาและสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเข้ามาหล่อหลอมชีวิต  เมื่อมีสถานการณ์เข้ามากระทบชีวิต  สิ่งที่แสดงออกมานั้นแหละคือสิ่งที่อยู่ในชีวิตของคนๆ นั้น  สิ่งที่พระเจ้าจะเข้ามาจัดการกับชีวิตคริสเตียน มี ๓ ด้านด้วยกัน คือ

(๓.๑)  จัดการกับบาปของเรา (บาปที่ฝังอยู่) ในพระธรรมฮีบรู ๑๒:๑-๔  “เหตุฉะนั้น ครั้นเรามีพยานหมู่ใหญ่อย่างนั้นอยู่รอบข้าง  ให้เราทิ้งของหนักทุกสิ่งที่ขัดข้องอยู่  และการผิดที่เรามักง่ายกระทำนั้น  และการวิ่งแข่งกันที่กำหนดไว้สำหรับเรานั้น ให้เราวิ่งด้วยความเพียรพยายาม  หมายเอาพระเยซูเป็นผู้ริเริ่มความเชื่อ  และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสำเร็จ เพราะเห็นแก่ความยินดีที่มีอยู่ตรงหน้านั้น  พระองค์ได้ทรงทนเอากางเขน ทรงถือว่าความละอายไม่เป็นสิ่งสำคัญอะไร และได้เสด็จประทับเบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้าแล้ว  ด้วยว่าท่านทั้งหลายจงพินิจคิดถึงพระองค์  ผู้ได้ทรงทนเอาการติเตียนนินทาของคนบาปต่อพระองค์มากเท่าใด  เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่อ่อนระอาใจไป  ท่านทั้งหลายยังไม่ได้สู้รบกับความบาปจนถึงโลหิตตก” บางทีเราได้ข่าวหรือเห็นชีวิตของบางคนที่เปลี่ยนไปคือเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดี  เราอาจจะคิดไม่ถึงว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนั้น  ทำไมเขาจึงทำเช่นนั้นได้อย่างไร ชีวิตเขาดีมาตลอดตั้งแต่เชื่อเป็นไปได้อย่างไร   ทำไมเขามาแย่ลงเอาตอนบั้นปลายชีวิต  หรือมาล้มลงในบาปตอนสูงวัยหรือตอนเกษียณอายุแล้ว   นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีบาปนี้ในชีวิตที่ผ่านมาเลย  อันที่จริงแล้วบาปนี้มีอยู่ในตัวเขาอยู่แล้ว  และมันเป็นบาปที่ซ่อนอยู่ในใจ สุภาษิต ๔.๒๓  “ จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน    เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ ” และในความคิด  ซึ่งเขาไม่ยอมจำนนกับพระเจ้า อาจจะปกปิดไว้  เก็บมันและเลี้ยงมันไว้โดยที่ไม่มีใครรู้  ตัวเขาเองอาจจะคิดว่าไม่เป็นไร  แต่กว่าที่เขาจะรู้ถึงพิษสงของมันก็ตอนมันโตเต็มที่นี่แหละ  มันก็ล้มเขาลงไม่เป็นท่า  คือนำเขาไปสู่การกระทำ  ตามพระธรรมยากอบ ๑:๑๓-๑๕ “เมื่อผู้ใดถูกล่อให้หลง   อย่าให้ผู้นั้นพูดว่า   “พระเจ้าทรงล่อข้าพเจ้าให้หลง”   เพราะว่าความชั่วจะมาล่อพระเจ้าให้หลงไม่ได้   และพระองค์เองก็ไม่ทรงล่อผู้ใดให้หลงเลย  แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อให้หลง   เมื่อกิเลสของตัวเองล่อและชักนำให้กระทำตาม  ครั้นตัณหาเกิดขึ้นแล้วก็ทำให้เกิดบาป   และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็นำไปสู่ความตาย” เมื่อได้ฟังคำสอนถึงบาปเล็กบาปน้อยหลายครั้งเรามักจะคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไร  เช่น  คิดว่าการดูหนังอ่านหนังสือท่องเน็ตเกี่ยวกับเรื่องเพศไม่เป็นไร เป็นการศึกษา  แต่เมื่อหมกมุ่นกับมันมากๆ ขึ้นและเมื่อมันทำให้เชื้อบาปที่มีอยู่ในตัวคนนั้นเริ่มได้อาหาร  และก็เริ่มโตขึ้นๆ จนนำไปสู่การกระทำ  และเมื่อทำมากขึ้นจนกลายเป็นนิสัยบาป   และที่สุดมันก็เข้ามาควบคุมชีวิตทั้งชีวิต  และเมื่อมันอยู่ในชีวิตเราแล้ว  ยามเมื่อเราต้องการที่จะเลิก  และอยากจะหลุดจากมันก็หลุดไม่ได้  เพราะได้กลายเป็นทาสไปแล้ว  เราควรรีบจัดการกับบาปในชีวิตเราก่อนที่พระเจ้าจะเข้ามาผ่าตัด หรือจัดการกับมัน  เพราะพระเจ้าทรงห่วงวิญญาณจิตของพระองค์ที่อยู่ในเรา   ในพระธรรมโรม ๖:๑๒-๑๔ “เหตุฉะนั้นอย่าให้บาปครอบงำกายที่ต้องตายของท่าน   ซึ่งทำให้ต้องเชื่อฟังตัณหาของกายนั้น  อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป   ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม   แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า   เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว   และจงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า  เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้   เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ   แต่อยู่ใต้พระคุณ” และก็อย่าสะสมบาปไว้รอจนถึงวันสุดท้าย คือวันที่พระเยซูทรงเสด็จมาพิพากษาโลก  เมื่อถึงวันนั้นก็หมดโอกาสที่จะแก้ตัวหรือกลับใจใหม่แล้ว  เพราะทุกสิ่งถูกบันทึกไว้ในสมุดประจำชีวิตของทุกคน  และจะถูกเปิดเผยออกมา  ยิ่งทุกวันนี้เทคโนโลยีก้าวหน้ามาก  มันเจริญจนเรามักจะได้ข่าวเรื่องเกี่ยวกับภาพที่เจ้าตัวไม่พึงประสงค์ที่จะเปิดเผยในที่สาธารณะชน  แต่เมื่อมีมือดีเอามาเผยแพร่  เจ้าของภาพปฏิเสธไม่ได้ ยังรู้สึกอายและแย่มากๆ หากวันนั้นมาถึงซึ่งเรายังไม่จัดการกับภาพต่างๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมบาปของเราที่เราเก็บไว้ในตู้เซฟสีดำอย่างดีของเราที่อยู่ภายในชีวิต  และคิดว่าจะไม่มีใครล่วงรู้ได้  เพราะเราปิดอย่างแนบเนียน  แต่วันนั้นพระเจ้าจะทรงเปิดเผยออกมา ภาพ แสง สี เสียง ตัวจริง เหตุการณ์จริงออกมาต่อหน้าคนทั้งโลก  เราจะรู้สึกอย่างไร   ในพระธรรมวิวรณ์ ๒๐:๑๒ “ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายแล้ว   ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้น   และหนังสือต่างๆก็เปิดออก   หนังสืออีกเล่มหนึ่งก็เปิดออกด้วย   คือหนังสือชีวิต   และผู้ที่ตายไปแล้วทั้งหมด   ก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น   และตามที่เขาได้กระทำ” เราควรตัดสินใจที่จะเชื่อฟัง กลับใจใหม่ และดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า นั่นแหละคือการกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  และเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์มากที่สุดในชีวิตคริสเตียนมากกว่าผลงานรับใช้อีก  นั่นก็คือชีวิตต้องมาก่อนผลงานเพราะในพระธรรมมัทธิว ๗:๒๑ “มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า   ‘พระองค์เจ้าข้า   พระองค์เจ้าข้า’   จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์   แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา   ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” ชีวิตต้องนำหน้าผลงาน

(๓.๒)  ผลของชีวิต (เกิดผลกับมนุษย์ไหม ?) เมื่อชีวิตคริสเตียนเราโตขึ้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกจากตัวเอง  คือจากการที่ตนเองเป็นศูนย์กลาง  ก็เปลี่ยนให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลางแทนในการดำเนินชีวิต  เพื่อเราจะไม่ทำเพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียวแต่เพื่อผู้อื่นด้วย  ไม่เพียงแต่เราจะถูกตรวจสอบในเรื่องบาปของเราเท่านั้น  เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงเรียกเราให้มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าเท่านั้นแต่ให้เรามีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นด้วย  มีชีวิตที่มีผลกระทบในทางที่ดีต่อผู้อื่น  เราจะต้องถูกตรวจสอบในผลของชีวิตต่อผู้ที่อยู่รอบตัวเรา  ในพระธรรมมัทธิว ๒๕:๔๑-๔๓  “พระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า‘ท่านทั้งหลายผู้ต้องแช่งสาปจงถอยไปจากเรา   เข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์   ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและสมุนของมันนั้น   เพราะว่าเมื่อเราหิวท่านก็มิได้ให้เรากิน   เรากระหายน้ำท่านก็มิได้ให้เราดื่ม   เราเป็นแขกแปลกหน้า  ท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้   เราเปลือยกาย   ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม   เราเจ็บป่วยและต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านไม่ได้เยี่ยมเรา ”  การกระทำคุณกับเพื่อนมนุษย์ก็คือมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่โอบอ้อมอารี   จึงเป็นสิ่งสำคัญเพราะพระเยซูทรงตรัสไว้ว่า  “เราประสงค์ความเมตตา ไม่ใช่เครื่องสัตวบูชา” และในพระธรรม ๑ยอห์น ๓:๑๗-๑๘ “แต่ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้   และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแล้วยังใจจืดใจดำไม่สงเคราะห์เขา   ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในผู้นั้นอย่างไรได้ ลูกทั้งหลายเอ๋ย   อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น   แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง” อย่ารักกันเพียงแค่คำพูดเท่านั้น  คือมีแต่คำอวยพรที่ไพเราะดูดี  เช่น  ขอให้ไปเป็นสุขเถิด ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรและจะอธิษฐานเผื่อ ในพระธรรมยากอบ ๒:๑๕-๑๖ “ถ้าพี่น้องชายหญิงคนใดขัดสนเครื่องนุ่งห่มและอาหารประจำวัน  และมีคนใดในพวกท่านกล่าวแก่เขาว่า   “เชิญไปเป็นสุขเถิด  ขอให้อบอุ่นและอิ่มเถิด”   และไม่ได้ให้สิ่งที่เขาขัดสนนั้น  จะเป็นประโยชน์อะไร”  คนของพระเจ้าจะต้องเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา  เพราะพระคัมภีร์ไม่ได้สอนให้เรารักพระเจ้าเท่านั้น  เพราะผลของการรักพระเจ้านั้นจะส่งออกไปถึงการที่เรารักพี่น้องและเพื่อนบ้านของเราด้วย   ดังตัวอย่างมากมายในพระวจนะที่ได้บันทึกไว้ซึ่งเขาเป็นคนมีเมตตาและพระเจ้าก็ทรงมีพระเมตตาต่อเขาด้วย  ในพระธรรมมัทธิว ๕:๗ “บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา   ผู้นั้นเป็นสุข   เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ” ผลของทานเป็นส่วนหนึ่งที่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานเช่นหญิงคนหนึ่งชื่อ “โดรคัส” ในพระธรรมกิจการ ๙:๓๖–๔๑  “ในเมืองยัฟฟามีหญิงคนหนึ่งเป็นศิษย์   ชื่อทาบิธา   ตามภาษากรีกว่าโดรคัสแปลว่าเนื้อสมัน   หญิงคนนี้เคยกระทำการอันเป็นคุณประโยชน์และให้ทานมามากแล้ว  ระหว่างนั้นหญิงคนนี้ก็ป่วยลงจนถึงแก่ความตาย   เขาจึงอาบน้ำศพวางไว้ในห้องชั้นบน   เมืองลิดดาอยู่ใกล้กับเมืองยัฟฟา   พวกสาวกได้ยินว่าเปโตรอยู่ที่นั่น   จึงใช้คนสองคนไปเชิญชวนว่า   “เชิญมาหาโดยเร็ว”  ฝ่ายเปโตรจึงลุกขึ้นไปกับเขา   เมื่อถึงแล้วเขาพาท่านขึ้นไปในห้องชั้นบน   และบรรดาหญิงม่ายได้ยืนอยู่กับท่านพากันร้องไห้   และชี้ให้ท่านดูเสื้อผ้าต่างๆ ซึ่งโดรคัสทำเมื่อยังมีชีวิตอยู่   ฝ่ายเปโตรให้คนทั้งปวงออกไปข้างนอก   และได้คุกเข่าลงอธิษฐาน   แล้วหันมายังศพนั้นกล่าวว่า   “ทาบิธาเอ๋ย  จงลุกขึ้น”   ทาบิธาก็ลืมตา   เมื่อเห็นเปโตรจึงลุกขึ้นนั่ง   ฝ่ายเปโตรยื่นมือออกพยุงเธอขึ้น   จึงเรียกวิสุทธิชนทั้งหลาย   กับพวกแม่ม่ายเข้ามา   แล้วมอบหญิงที่เป็นขึ้นนั้นให้กับเขาทั้งหลาย ”   เธอเป็นคนที่ทำคุณประโยชน์ให้ทานมากมาย  แต่เมื่อเธอเสียชีวิตคนก็ไม่อยากให้เธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับเขาจึงขอให้ท่านเปโตรอธิษฐานช่วยให้เธอฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง  และอีกคนหนึ่งชื่อ  “บารนาบัส” ในพระธรรมกิจการ ๔:๓๖-๓๗  “เป็นต้นว่าโยเซฟ   ที่อัครทูตเรียกว่า   บารนาบัส   แปลว่าลูกแห่งการหนุนน้ำใจ   เป็นพวกเลวีชาวเกาะไซปรัส   มีที่ดินก็ขายเสียและนำเงินค่าที่นั้นมาวางไว้ที่เท้าของอัครทูต” เขาได้ขายที่ดินของตนและนำเงินมาให้สาวก เพื่อช่วยเหลือคนขัดสน   และในพระวจนะของพระเจ้าที่ทรงสอนเกี่ยวกับการช่วยเหลือคนอื่นไว้ในพระธรรมสุภาษิต ๓:๒๗-๒๘ “อย่ายึดความดีไว้จากผู้ที่สมควรจะได้รับ   ในเมื่อสิ่งนี้อยู่ในอำนาจของเจ้าที่จะกระทำได้    อย่าพูดกับเพื่อนบ้านของเจ้าว่า ‘ไปเถอะ  แล้วกลับมาอีก  พรุ่งนี้ฉันจะให้’  ในเมื่อเจ้ามีให้อยู่แล้ว” และในพระธรรมสุภาษิต ๑๑:๒๔-๒๕ “บางคนยิ่งจำหน่ายยิ่งมั่งคั่ง    บางคนยิ่งยึดสิ่งที่ควรจำหน่ายไว้ยิ่งขัดสนก็มี    บุคคลที่ใจกว้างขวางย่อมได้รับความมั่งคั่ง  บุคคลที่รดน้ำ  เขาเองจะรับการรดน้ำ” ในพระธรรมสุภาษิต ๑๙:๑๗ “บุคคลที่เอ็นดูคนยากจนก็ให้พระเจ้าทรงยืม    และพระองค์จะทรงตอบแทนแก่การกระทำของเขา” นี่คือพระวจนะของพระเจ้าที่ทรงสอนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตคริสเตียนในโลกที่ควรรู้จัก  การให้กับคนที่ขัดสน  มีใจเมตตาปราณีและก็เป็นผลของพระวิญญาณด้วย

พระเจ้าจะทรงพิพากษาทุกคนในการดำเนินชีวิต ว่าเขามีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์หรือไม่  มีความรักที่แสดงออกเป็นการกระทำ  และรับรู้ทุกข์สุขของคนรอบข้างและได้เหยียดมือของเขาออกไปหยิบยื่นให้กับคนเหล่านั้น  ในพระธรรมมัทธิว๒๕:๔๕-๔๖ “เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสกับเขาว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า   ซึ่งท่านมิได้กระทำแก่ผู้ต่ำต้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้   ก็เหมือนท่านมิได้กระทำแก่เราด้วย’ และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์   แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์” แน่นอนการให้ต้องใช้สติปัญญา   ถ้าหากเป็นความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ก็คงไม่ต้องตั้งข้อแม้มากมาย  และคิดเป็นรายละเอียดเกินไป  ลักษณะที่เด่นชัดของชีวิตคริสเตียนควรเป็นการให้  การแจกจ่ายออกไป  ไม่ใจจืดใจดำ  ไม่สักแต่รับพระคุณของพระเจ้าหรือรับความช่วยเหลือฝ่ายเดียว  แต่เปิดตามองหาคนรอบข้างที่ขัดสนซึ่งไม่ใช่เงินอย่างเดียว  แต่มีอะไรมากมายที่จะให้ได้ เป็นสิ่งของหรือกำลังความสามารถ, สติปัญญา, เวลา ฯลฯ

(๓.๓)  ความสามารถและของประทาน สิ่งที่พระเจ้าใส่ไว้ในชีวิตของมนุษย์ทุกคนนั่นคือความสามารถและของที่ประทานให้นั้น  จะถูกเรียกเอาผลและกำไรคืนทั้งสิ้น   ดังที่เราได้ทราบแล้วเกี่ยวกับเรื่องเงินตะลันต์ในพระธรรมมัทธิว ๒๕:๑๔-๓๐ “และยังเปรียบเหมือน   ชายผู้หนึ่งจะออกเดินทางไป   จึงเรียกพวกทาสของตนมาฝากทรัพย์สมบัติไว้  คนหนึ่งท่านให้ห้าตะลันต์   คนหนึ่งสองตะลันต์   และอีกคนหนึ่งตะลันต์เดียว   ตามความสามารถของแต่ละคน   แล้วท่านก็ไป คนที่ได้รับห้าตะลันต์นั้นก็เอาเงินนั้นไปค้าขายทันที   ได้กำไรเท่าตัว  คนที่ได้รับสองตะลันต์นั้นก็ได้กำไรเท่าตัวเหมือนกัน   แต่คนที่ได้รับตะลันต์เดียวได้ขุดหลุมซ่อนเงินของนายไว้   ครั้นอยู่มาช้านานนายจึงมาคิดบัญชีกับทาสเหล่านั้น   คนที่ได้รับห้าตะลันต์ก็เอาเงินกำไรอีกห้าตะลันต์มาชี้แจงว่า ‘นายเจ้าข้า   ท่านได้มอบเงินห้าตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า   ดูเถิด   ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์’  นายจึง ตอบว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ   เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย   เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก   เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด’  คนที่ได้รับสองตะลันต์มาชี้แจงด้วยว่า ‘นายเจ้าข้า   ท่านได้มอบเงินสองตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า   ดูเถิด   ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกสองตะลันต์’   นายจึงตอบว่า   ‘ดีแล้ว   เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ   เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย   เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก   เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด’   ฝ่ายคนที่ได้รับตะลันต์เดียวมาชี้แจงด้วยว่า   ‘นายเจ้าข้า   ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าท่านเป็นคนใจแข็ง   เกี่ยวผลที่ท่านมิได้หว่าน   เก็บส่ำสมที่ท่านมิได้โปรย  ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินตะลันต์ของท่านไปซ่อนไว้ใต้ดิน   ดูเถิด   นี่แหละเงินของท่าน’   นายจึงตอบว่า   ‘อ้ายข้าชั่วช้าและเกียจคร้าน   เจ้าก็รู้หรือว่าเราเกี่ยวที่เรามิได้หว่าน   เก็บส่ำสมที่เรามิได้โปรย  เหตุฉะนั้นเจ้าควรเอาเงินของเราไปฝากไว้ที่ธนาคาร   เมื่อเรามาจะได้รับเงินของเราทั้งดอกเบี้ยด้วย เพราะฉะนั้น   จงเอาเงินตะลันต์เดียวนั้นจากเขาไปให้คนที่มีสิบตะลันต์   ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้วจะเพิ่มเติมให้ผู้นั้นจนมีเหลือเฟือ   แต่ผู้ที่ไม่มี  แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่ก็จะต้องเอาไปจากเขา   เอาอ้ายข้าชาติชั่วช้าไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก   ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’”การพิพากษาเกี่ยวกับความสามารถและของประทาน  จะมีประโยชน์อะไรถ้าเราเป็นคนที่เก่งมีความสามารถในโลกนี้   แต่ความสามารถนั้นไม่ได้ถูกนำไปใช้ในงานของพระเจ้า  เราอาจจะประสบความสำเร็จในโลกมากมายเป็นคนมีชื่อเสียง  มีตำแหน่งหน้าที่การงานดี  แต่สิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้มีผลต่อแผ่นดินของพระเจ้า  หรือเราอาจจะเป็นคนที่ร่ำรวยในโลก  แต่ความร่ำรวยนั้นก็ไม่ได้ถูกใช้ไปในงานของพระเจ้า  เราอาจจะเป็นคนที่ฉลาดมีปัญญารอบรู้และหลักแหลม  มันจะมีประโยชน์อะไรที่ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในทางของพระเจ้า หรือถวายเกียรติแด่พระองค์ คนนั้นก็เป็นเพียงคนที่โง่คนหนึ่งในสายพระเนตรของพระเจ้า  เราอาจจะมีทุกสิ่งในโลกแต่เป็นคนที่น่าสมเพชมาก  หากไม่รู้จักที่จะสะสมสิ่งนั้นไว้ในแผ่นดินสวรรค์ซึ่งเป็นที่นิรันดร์  เพราะเขาจะได้เสพสุขชั่วครู่หนึ่งในโลกนี้เท่านั้นคือไม่กี่ปี   แต่หากเรียนรู้ที่จะสะสมไว้ในแผ่นดินสวรรค์  เขาจะมีและครอบครองสิ่งนั้นชั่วนิจนิรันดร์  คนที่ได้รับจากพระเจ้าไว้มากก็จะถูกเรียกเอามากตามที่มอบให้   คนที่ครอบครองมากก็จะถูกเรียกเอามากเช่นกัน พระเจ้าจะไม่เรียกเอาจากที่เราไม่มี  พระองค์ได้ประทานของประทานมากมายให้แก่คริสเตียนทุกคนในการรับใช้   และในวันนั้นจะไม่มีใครสักคนเดียวที่ปฏิเสธได้ว่าเขาไม่มีของประทานจึงไม่ได้รับใช้  เพราะคำตอบทั้งสิ้นก็ปรากฏอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าอยู่แล้ว  จงรับใช้พระเจ้าด้วยการทำตัวให้คริสตจักรจำเริญขึ้น   แล้วของประทานจะตามมา  และใช้ของประทานให้เกิดผลเพื่ออาณาจักรของพระเจ้า

เราพร้อมหรือยังที่จะให้พระเจ้าเข้ามาตรวจสอบทุกด้านในชีวิตของเรา    และพร้อมที่จะเดินไปพบกับพระเจ้าหรือไม่  พร้อมที่จะยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ในวันพิพากษาไหม   ทุกวันนี้พระเจ้าถือพลั่วและกำลังชำระลานข้าว(คริสตจักร)  ของพระองค์  จะแยกเอาข้าวออกจากฟางและแกลบ  ซึ่งหมายถึงสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์หรือเป็นอุปสรรคในชีวิตนั่นคือบาปออกไปจากชีวิตเรา  การพิพากษากำลังจะมาแล้ว  รีบลุกขึ้นจัดการกับชีวิตของตนเถิด  ก่อนที่พระเจ้าจะมาจัดการ เราจะถูกเรียกเอาจากความสามารถที่มีอยู่  เพราะเราได้เรียนรู้แล้วว่าในชีวิตของคนๆ หนึ่งนั้นมีความสามารถมากกว่า ๕๐๐ อย่าง  ไม่มีใครหรอกที่ทำอะไรไม่เป็นเลย  และก็ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วทำเป็นทุกอย่าง  ทุกอย่างต้องมีการเรียนรู้และฝึกฝนทั้งสิ้น  พวกที่บอกว่าทำอะไรไม่เป็นหรือไม่เก่ง  ไม่มีความสามารถ  คนประเภทนี้เรียกว่า “คนเกียจคร้าน” คำพูดนั้นเป็นเพียงการแก้ตัว ไม่มีอะไรที่คนอื่นทำได้แล้วเราจะทำไม่ได้  เพราะหากคนที่มีอวัยวะครบทุกอย่างเหมือนกัน บางคนที่ไม่สมประกอบยังทำอะไรได้ดีและมากกว่าคนที่มีอวัยวะครบ เรามีความสามารถอะไรก็ให้นำออกมาใช้ให้เกิดผลในงานของพระเจ้าเถิด  เช่น  ทำอาหาร  การฝีมือ  การช่าง  เทคโนโลยี  ศิลปะ ฯลฯ   ส่วนมากพวกที่เก่งจริงๆ จะไม่ค่อยทำ  คนที่จะทำจริงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีหัวใจและจริงใจเท่านั้น  คนเก่งมักจะคอยวิพากวิจารณ์คนอื่นที่ทำ  ระวัง! พระเจ้าจะทรงพิพากษาความสามารถของคนเช่นนี้ด้วย   คนที่ทำอะไรเก่งทุกวันนี้เขาก็เริ่มต้นจากไม่เป็นเลยเช่นกัน  ลองผิดลองถูกและฝึกฝนกันทั้งนั้น  ส่วนตรงกันข้ามคนที่ไม่ยอมทำแล้วอ้างว่าไม่มีของประทาน  หรือทำอะไรไม่เป็นเขาจะไม่มีโอกาสรับใช้พระเจ้าเลยตลอดชีวิตของเขา   พระเจ้าจะเรียกเอาจากทุกคนอย่างแน่นอนในวันพิพากษา   พร้อมหรือยังที่จะเผชิญหน้ากับพระเจ้า   ถ้ายังไม่พร้อม  จงอธิษฐานขอให้เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิต ที่จะหันกลับมาทำตามพระทัยพระเจ้า ทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้ทำ ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อเมื่อวันสุดท้ายชีวิตมาถึงเราจะพร้อมที่จะไปพบกับพระเจ้า  หรือเมื่อพระเยซูจะเสด็จมาครั้งที่สองและพบเราในภาพที่พร้อมแล้วคือเป็นบ่าวที่ได้ทำตามคำสั่งนายแล้ว  มัทธิว ๒๔.๔๕ – ๕๑  “ ใครเป็นทาสสัตย์ซื่อและฉลาด   ที่นายได้ตั้งไว้เหนือพวกบ่าวทาสสำหรับแจกอาหารตามเวลา 46เมื่อนายมาพบเขากระทำอยู่อย่างนั้น   ทาสผู้นั้นก็จะเป็นสุข 47เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า   นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลบรรดาข้าวของของท่าน 48แต่ถ้าทาสนั้นชั่วและคิดในใจว่า ‘นายของข้ามาช้า’49แล้วจะตั้งต้นโบยตีเพื่อนทาสและกินดื่มอยู่กับเพื่อนขี้เมา 50นายของทาสผู้นั้น   จะมาในวันที่เขาไม่คิดในโมงที่เขาไม่รู้ 51และจะทำโทษเขาถึงสาหัส   ทั้งจะขับไล่ให้เขาไปอยู่ในที่ของพวกคนหน้าซื่อใจคด   ซึ่งที่นั่นจะมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ”