๑. พระวิญญาณบริสุทธิ์คือใคร ? ที่ผ่านมาผู้เชื่อใหม่มักจะได้ยินแต่คำว่า “พระเจ้า” “พระเยซู” แต่คำว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อาจจะไม่ค่อยคุ้นแม้แต่บางคนที่เชื่อพระเจ้ามานานแล้วก็ตาม ยังไม่มีความเข้าใจเรื่องนี้ดีหรืออย่างถูกต้อง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจเพราะจะยังผลต่อชีวิตคริสเตียนและการดำเนินชีวิตประจำวันด้วย และโดยเฉพาะยุคนี้เป็นยุคของการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย หากขาดความรู้และเข้าใจในเรื่องนี้ การดำเนินชีวิตคริสเตียนจะมีชัยชนะและเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้อย่างไร พระวิญญาณบริสุทธิ์มีความสำคัญต่อชีวิตคริสเตียนมาก แต่จำเป็นที่จะต้องทำความรู้จักกับพระองค์ก่อน พระองค์ทรงเป็นใคร?
(๑.๑) พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นหนึ่งในสามพระภาคของพระเจ้า อย่าลืมว่าเรามีพระเจ้าเดียวแต่ทรงปรากฎเป็นสามพระภาค คือ พระบิดา(พระเจ้า) พระบุตร(พระเยซู) และพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย และความสมบูรณ์ของพระเจ้าอยู่ในพระองค์อย่างครบถ้วน ภาพที่ทำให้เราเห็นชัดในสามพระภาคนั้นก็คือ ตอนที่พระเยซูทรงรับบัพติศมากับยอห์น แบ๊พติส ในพระธรรมมัทธิว ๓:๑๖-๑๗ “ครั้นพระองค์ทรงรับบัพติสมาแล้ว ในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจากน้ำ และท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบ ลงมาสถิตอยู่บนพระองค์ และนี่แน่ะมีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” และเมื่อพระเยซูทรงตรัสถึงองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะเสด็จมาภายหลังที่พระองค์ทรงเสด็จขึ้นไปยังสวรรค์แล้ว ในพระธรรมยอห์น ๑๖:๘ “อย่างไรก็ตามเราจะบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน” นั้นหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง
(๑.๒) พระองค์ทรงเป็นบุคคล ในความเป็นบุคคลของพระองค์นั้นคือ พระองค์ทรงมีปัญญา ความรู้ ความเข้าใจ มีความรัก ทรงเสียพระทัย ทรงสามารถ ทรงประกอบราชกิจ ทรงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ ซึ่งจะสังเกตจากผลของพระวิญญาณนั้นก็ชัดเจนในความเป็นบุคคลของพระองค์ ในพระธรรมกาลาเทีย ๕:๒๒-๒๓ “ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปราณี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน…” เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับใคร ชีวิตเขาจะออกผลของพระองค์นั่นคือลักษณะนิสัยการกระทำของคนนั้นจะออกมาเป็นอาการของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สำแดงออกมาในเขา
๒. คำพยากรณ์ที่กล่าวถึงพระองค์
(๒.๑) ในพระคัมภีร์เดิม ในพระธรรมโยเอล ๒:๒๘-๒๙ “ต่อมาภายหลังจะเป็นอย่างนี้ คือเราจะเทพระวิญญาณของเรามาเหนือมนุษย์ทั้งปวง บุตรชายบุตรหญิงของเจ้าทั้งหลายจะเผยพระวจนะ คนชราของเจ้าจะฝัน และคนหนุ่มของเจ้าจะเห็นนิมิต ในกาลครั้งนั้น เราจะเทพระวิญญาณของเรา มาเหนือกระทั่งคนใช้ชายหญิง”
ในพระคัมภีร์เดิม งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการที่พระองค์จะเสด็จมาเจิมหรือสถิตอยู่เหนือใครเป็นงานเฉพาะกิจ เฉพาะบางคน บางโอกาส หรือคนที่ได้รับการทรงเลือกสรรเป็นพิเศษเพื่องานเฉพาะกิจเท่านั้น เช่น ผู้นำ ผู้เผยพระวจนะ และเป็นการสถิตอยู่ชั่วคราวและจำกัด ตัวอย่างเช่น ในพระธรรมอพยพ ๓๑:๑-๕ “พระยาเวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ดูสิ เราได้เลือกเบซาเลล บุตรอุรีผู้เป็นบุตรเฮอร์แห่งเผ่ายูดาห์ และเราได้ให้เขาเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า คือให้เขามีสติปัญญา ความเข้าใจและความรู้ในงานช่างทุกอย่าง เพื่อจะคิดออกแบบในการทำเครื่องทอง เครื่องเงิน และเครื่องทองสัมฤทธิ์ ในการเจียระไนอัญมณีสำหรับฝังในกระเปาะ และในการแกะสลักไม้สำหรับงานช่างทุกอย่าง” ให้เขามีวิญญาณของพระเจ้าเพื่อจะมีสติปัญญาความรู้ความเข้าในในการเป็นช่างออกแบบงานฝีมือศิลปะ เพื่อสร้างพลับพลาของพระเจ้าให้สวยงาม ในพระธรรมผู้วินิจฉัย ๖:๓๔-๓๕ “แต่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตกับกิเดโอน ท่านก็เป่าเขาสัตว์ เรียกตระกูลอาบีเยเซอร์ให้มาติดตามท่าน และท่านส่งผู้สื่อสารไปทั่วมนัสเสห์ เรียกให้เขายกติดตามท่านไปด้วย และท่านส่งผู้สื่อสารไปยังอาเชอร์ เศบูลุน และนัฟทาลี คนเหล่านี้ก็ขึ้นมาปะทะข้าศึกด้วย”ทรงสถิตกับกิเดโอนให้เขามีความกล้าหาญในการเป็นผู้นำออกรบกับศัตรู เพราะกิเดโอนขาดความกล้าหาญ
(๒.๒) ในพระคัมภีร์ใหม่ ก่อนที่พระเยซูจะจากสาวก(ละจากโลก) ของพระองค์ไปสวรรค์ คืออีกวันเดียวที่พระองค์จะถูกตรึงที่กางเขนและสิ้นพระชนม์และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ๓ วัน ได้เป็นขึ้นมาจากความตายและทรงอยู่ในโลกต่อถึง ๔๐ วัน พระองค์ทรงบอกสาวกถึงท่านผู้หนึ่งที่จะเสด็จมาภายหลังพระองค์ว่า ตั้งแต่ในพระธรรมยอห์น ๑๔:๑๖-๑๗, ๒๖ “เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน…. แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว” และในพระธรรมยอห์น ๑๖:๗-๘, ๑๓-๑๕ “อย่างไรก็ตามเราจะบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความผิด ความชอบธรรม และการพิพากษา เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา เหตุฉะนั้นเราจึงกล่าวว่า พระวิญญาณทรงเอาสิ่งซึ่งเป็นของเรานั้น มาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย” นี่คือสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกล่าวไว้กับสาวกของพระองค์เกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะเสด็จมาภายหลังจากที่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว ตลอดทั้งพระราชกิจของพระองค์ที่จะทรงกระทำท่ามกลางเหล่าสาวกเมื่อพระวิญญาณทรงเสด็จลงมาสถิตกับพวกเขา
(๒.๓) ในยุคสุดท้าย หมายถึงเมื่อไร? ก็คือช่วงเวลาคริสตศักรราชในปัจจุบันนี้แหละ คำพยากรณ์ได้เป็นจริงตามพระธรรมโยเอล ๒:๒๘-๒๙ เมื่อคนในสมัยของโยเอลได้ยินถ้อยคำเหล่านี้คงจะอิจฉาคนในยุคนี้ ก็คงไม่ต่างจากคนในสมัยพระคัมภีร์เดิม เมื่อเขาได้ยินถึงคำพยากรณ์เกี่ยวกับพระเมสสิยาห์(พระเยซูคริสต์) เขาคงรู้สึกอิจฉาคนยิวรุ่นหลังที่จะได้เห็น ได้ยิน และได้สัมผัสถึงพรพเมสสิยาห์ (ผู้ที่ถูกเจิมไว้) ผู้ที่ได้พยากรณ์ไว้ แต่พอพระเยซูเสด็จมาบังเกิดปรากฏเป็นตัวตนจริงๆ ให้เขาเห็นกลับตรงกันข้าม คนในยุคสมัยของพระเยซูกลับปฏิเสธพระองค์ จนในที่สุดได้โหวดเสียงให้ตัดสินประหารพระองค์เสียโดยการตรึงที่กางเขน ฉะนั้นคริสเตียนยุคนี้ก็ต้องระวังเช่นกัน เกรงว่าจะเป็นเหมือนพวกยิวในสมัยพระเยซู เราทั้งหลายได้อธิษฐานขอพระวิญญาณที่จะเสด็จลงมาฟื้นฟู ทรงเจิมขอการทรงสำแดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ รวมถึงฤทธานุภาพของพระเจ้าที่จะทรงปรากฎท่ามกลางผู้เชื่อ แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาจริงๆ กลับรับไม่ได้ เพราะไม่เหมือนกับที่คิดและคาดหวังไว้ เขาจึงปฏิเสธและดูหมิ่นพระองค์ หาว่าไม่ใช่กิจการที่มาจากพระเจ้า ตรงกันข้ามกลับหาว่ามาจากผีปีศาจด้วยซ้ำไป จงระวัง! เพราะพระวจนะของพระเจ้าได้เตือนไว้ในพระธรรมลูกา ๑๒:๑๐ “ผู้ใดจะกล่าวร้ายบุตรมนุษย์จะทรงโปรดยกโทษให้ผู้นั้นได้ แต่ถ้าผู้ใดจะกล่าวหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงโปรดยกโทษให้ผู้นั้นไม่ได้” ในการทรงสำแดงของพระวิญญาณนั้นเราไม่สามารถกำหนดพระองค์ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าได้ หรือตามความคิดที่จำกัดของเรา หรือประสบการณ์ของเราได้ เพราะพระองค์ไม่จำเป็นที่จะกระทำสิ่งใดตามความคาดหวังของมนุษย์คนหนึ่งคนใดได้ แต่ตามพระประสงค์ของพระเจ้าและวิธีการของพระองค์เท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะทำให้หลายคนปฏิเสธพระวิญญาณบริสุทธิ์ไป เพราะเรื่องของพระวิญญาณเราไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยความคิดและปัญญาของมนุษย์ธรรมดาได้ แต่ต้องพึ่งพระปัญญาและพระวิญญาณของพระเจ้าที่จะทรงช่วยเรา หากเราจะวิเคราะห์สิ่งใด หรือที่จะตัดสินสิ่งใดที่มาจากพระเจ้า จำเป็นอย่างยิ่งเราต้องอธิษฐานและขอการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะทรงช่วยเรา ไม่เช่นนั้นจะมีโอกาสผิดพลาดได้มาก ในพระธรรม ๑โครินธ์ ๒:๙-๑๓ “ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์ พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านั้นแก่เราทางพระวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า อันความคิดของมนุษย์นั้นไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเองฉันใด พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น เราทั้งหลายไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่เรา เรากล่าวถึงเรื่องสิ่งเหล่านี้ ด้วยถ้อยคำซึ่งมิใช่ปัญญาของมนุษย์สอนไว้ แต่ด้วยถ้อยคำซึ่งพระวิญญาณได้ทรงสั่งสอน คือเราได้อธิบายความหมายของเรื่องฝ่ายวิญญาณ ให้คนที่มีพระวิญญาณฟัง” หากเราพร้อมที่จะมีประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะไม่จำกัดพระองค์เพียงประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น ตา หู ฝ่ายร่างกาย หรือความคิดที่แคบๆ ของเราอีกต่อไป และพร้อมที่จะให้เสรีภาพกับพระองค์อย่างเต็มที่ และเมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าเคลื่อนไหวและเข้ามาสัมผัสเรา สิ่งที่ไม่ดีไม่ว่าจะเป็นความบาปหรือ รากขมขื่น ความชั่วร้ายและรวมถึงวิญญาณชั่วก็อยู่ไม่ได้ มันต้องออกไปเมื่อพระวิญญาณทรงเคลื่อนไหว ให้ทำความเข้าใจใหม่ว่าบางคนที่เคยยุ่งเกี่ยวกับเหล่าวิญญาณชั่วมาก่อนจึงมีอาการเหมือนคนผีเข้า ไม่ใช่อาการผีเข้าแต่เป็นผีออก เป็นการปลดปล่อยคนจากวิญญาณชั่วที่จองจำเขา อาจเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณชั่วที่เขาเคยเกี่ยวข้องมาก่อน ที่จะมารับเชื่อ หรือบางทีก็เป็นวิญญาณแห่งความขมขื่นหรือการไม่ให้อภัยในชีวิตของเขา และเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาประทับกับใครนั้นการสำนึกผิดหรือการเสียใจในการกระทำบาป เสรีภาพฝ่ายวิญญาณและความชื่นชมยินดีก็เกิดขึ้นในคนนั้น จึงเกิดอาการต่างๆ เช่น ร้องไห้ กรีดร้อง หัวเราะ กระโดดโลดเต้น ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี การหัวเราะ อาการต่างๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นแล้วแต่สภาวะที่คนนั้นเป็น ตัวท่านพร้อมหรือยังที่จะให้พระองค์เข้ามาทะลุทะลวงในชีวิตเราหรือยังไม่ยอมกับพระองค์ แน่นอนพระองค์จะเทการเจิมลงมาเหมือนห่าฝน แต่คนที่จะได้รับขึ้นอยู่กับว่าเขาเปิดชีวิตของเขาที่จะรองรับน้ำฝนที่พระเจ้าจะเทลงมาหรือไม่ เขาออกไปให้ฝนของพระวิญญาณโดนเขาจนเปียกชุ่มฉ่ำหรือเขาจะปิดใจตัวเอง โดยการกางร่มไม่ยอมให้โดนฝน เราเลือกที่จะเป็นคนไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเราได้เตรียมใจเราอย่างเต็มที่ในการต้อนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ คริสเตียนส่วนมากจะรู้จักการบัพติสมาในน้ำดี เพราะเมื่อเขารับเชื่อแล้วไม่นานเขาก็จะถูกสอนและหลังจากนั้นก็จะเข้าสู่พิธี ทุกคนที่เชื่อจะต้องรับไม่เว้นสักคนเดียวตามคำสั่งของพระเยซูคริสต์ ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีผลต่อความรอดแต่ประการใดรวมทั้งการดำเนินชีวิตตลอดทั้งการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าด้วย แต่เพราะเราถือว่าเป็นคำสั่งของพระเยซูคริสต์ที่ผู้เชื่อทุกคนต้องปฏิบัติตาม ในพระธรรมมัทธิว ๒๔:๑๙ “เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์” มีพระคัมภีร์ในพระกิตติคุณทั้งห้าเล่มรวมทั้งพระธรรมกิจการด้วยที่ได้กล่าวถึงการบัพติสมาอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งในพระธรรมมัทธิว ๒:๑๑ “เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะถอดฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลาย รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ” และนั่นก็คือ “การบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์” ที่คริสเตียนส่วนมากไม่ค่อยจะรู้จัก และก็ไม่ค่อยถูกสอนอย่างชัดเจนและจริงจังในคริสตจักร
ในคริสตจักรของเราก็ได้สอนมาตลอด แต่ก็มีน้อยคนที่เอาใจใส่และต้องการที่จะรับ จะด้วยเหตุผลประการใดก็แล้วแต่ดิฉันเองก็เช่นกัน ดิฉันได้เชื่อในพระเยซูโดยการต้อนรับพระองค์เข้ามาในใจในปีค.ศ. ๑๙๗๒ แต่มาได้รับการเรียนรู้เรื่องบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างชัดเจนในปีค.ศ. ๑๙๘๔ เป็นเวลาถึง ๑๔ ปี เพราะไม่ได้รับการสอนอย่างเจาะจง แต่ถึงกระนั้นก็แสวงหาที่จะมีประสบการณ์แม้ยังไม่เข้าใจอย่างถูกต้อง ดังนั้นจึงได้รับประสบการณ์การรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ในปีค.ศ. ๑๙๘๓ ได้รับก่อนที่จะเรียนรู้อย่างถูกต้อง ทำไมคริสตจักรส่วนมากไม่ได้สอนและเน้นเรื่องนี้ สาเหตุอาจจะเนื่องมาจากการไม่เห็นความสำคัญก็ได้ แต่ถ้าหากว่าไม่สำคัญจริงทำไมพระคัมภีร์ทั้ง 5 เล่ม ได้กล่าวถึง และก็มีคำทำนายไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ในพระคัมภีร์เดิมมา รวมทั้งท่านยอห์น แบ๊พติส และพระเยซูคริสต์ก็ทรงกล่าวถึง แท้จริงการรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับคริสเตียนทุกคน แม้ไม่ใช่คำสั่งแต่เป็นคำกำชับของพระเยซูต่อสาวกว่าไม่ให้เขาออกไปไหนและทำอะไรก่อน ให้เขารอที่จะรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ การรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์จะมีผลดีต่อการดำเนินชีวิตคริสเตียนมากซึ่งจะอธิบายต่อไปภายหลัง อาจเป็นได้ที่มารซาตานได้ปิดบังไว้ไม่ให้คริสเตียนสนใจ เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยในการอธิษฐานและทำให้ชีวิตคริสเตียนของเขามีกำลังฤทธิ์เดชและมีชัยชนะ ขณะที่อ่านนี้ ขอตาใจของท่านเปิดออกที่จะเข้าใจอย่างถูกต้องและหิวกระหาย แสวงหา คริสเตียนทุกคนควรต้องการรับทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้ตามที่ได้กล่าวไว้ในพระวจนะทั้งหมด และต้องการที่จะมีประสบกาณ์ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ โดยไม่ได้ดูที่มนุษย์เป็นตัววัด หรือความคิดของเราเองเป็นกรอบบรรทัดฐาน จะทำให้พลาดจากพระพรของพระเจ้าได้ ตามพระธรรม ๒โครินธ์ ๑๐:๔-๕ “เพราะว่าศาสตราวุธของเราไม่เป็นฝ่ายโลกียวิสัย แต่มีฤทธิ์เดชจากพระเจ้า อาจทำลายป้อมได้ คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์” เราควรมีใจปรารถนาเหมือนอย่างอาจารย์เปาโลที่ได้กล่าวไว้ในพระธรรมฟิลิปปี ๓:๑๐ “ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์”
๓. บัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นประสบการณ์หนึ่ง
ในพระธรรมมาระโก ๑:๔, ๗, ๘ “ท่านยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาก็ได้ปรากฏตัวในถิ่นทุรกันดาร ท่านได้ประกาศให้กลับใจเสียใหม่ และรับบัพติศมา เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปเสีย ท่านประกาศว่า “ภายหลังเราจะมีพระองค์ผู้หนึ่งเสด็จมา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะน้อมตัวลงแก้สายฉลองพระบาทให้พระองค์ เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่พระองค์นั้นจะให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” การบัพติสมาในน้ำ มนุษย์เป็นผู้ให้ แต่บัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์พระเยซูคริสต์เท่านั้นเป็นผู้ให้ และในพระธรรมกิจการ ๑๙:๒-๔ “จึงถามเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเชื่อนั้น ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า” เขาตอบว่า “เปล่า เรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเราก็ยังไม่เคยได้ยินเลย เปาโลจึงถามเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านได้รับบัพติศมาอันใดเล่า” เขาตอบว่า “บัพติศมาของยอห์น” เปาโลจึงว่า “ยอห์นให้รับบัพติศมาสำแดงถึงการกลับใจใหม่ แล้วบอกคนทั้งปวงให้เชื่อในพระองค์ผู้จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซู” การรับเชื่อเป็นประสบการณ์หนึ่ง การรับบัพติสมาในน้ำก็เป็นอีกประสบการณ์หนึ่ง และการรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งเช่นกัน เป็นคนละประสบการณ์ บางครั้งการรับเชื่อที่ได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ทันทีเลยก็มี ดังตัวอย่างในพระธรรมกิจการ ๑๐:๔๔ “เมื่อเปโตรยังกล่าวคำเหล่านั้นอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาสถิตกับคนทั้งปวงที่ฟังพระวจนะนั้น ฝ่ายพวกที่ได้เข้าสุหนัต ซึ่งเชื่อถือในพระเยซูเจ้า คือที่มาด้วยกันกับเปโตรก็ประหลาดใจ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้ลงมาบนคนต่างชาติด้วย เพราะเขาได้ยินคนเหล่านั้นพูดภาษาต่างๆ และยกย่องสรรเสริญพระเจ้า เปโตรจึงย้อนถามว่า “ใครอาจจะห้ามคนเหล่านี้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนเรา โดยมิให้เขารับบัพติศมาด้วยน้ำได้” เปโตรจึงสั่งให้เขารับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ และเขาทั้งหลายได้ขอให้เปโตรยับยั้งอยู่กับเขาอีกสองสามวัน” เมื่อเขาฟังท่านเปโตรเทศนาเขารับด้วยความเชื่อ คือในใจเขาเชื่อ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงเสด็จมาบนเขา หลายคนเข้าใจว่าการรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเกิดขึ้น เมื่อรับเชื่อแล้วก็ได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยปริยายทุกคน โดยอ้างในพระธรรมเอเฟซัส ๑:๑๓ “ในพระองค์นั้น ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ฟังสัจวาทะ คือข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของท่าน และได้วางใจในพระองค์ ได้รับการผนึกตราไว้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งพระสัญญา เป็นมัดจำของการรับมรดกของเรา จนกว่าเราจะได้รับเป็นกรรมสิทธิ์ เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่พระสิริของพระองค์”คำว่า “ประทับตรา” กับคำว่า “จุ่ม” นั้นไม่เหมือนกัน ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในพระธรรมเอเฟซัสไม่ได้กล่าวถึงเรื่องบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์แต่กล่าวถึงความรอดและมรดก ถ้าต้องการจะรู้ เรื่องบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์จะต้องศึกษาในพระธรรมกิจการ และในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มที่พระเยซูและท่านยอห์นได้กล่าวไว้ แล้วถ้าจะกล่าวว่าเรารับแล้วเมื่อเราเชื่อ มีอะไรบ่งบอกว่าเราได้รับแล้ว จะต้องมีสิ่งที่สำแดงออกมาหรือเป็นประสบการณ์ที่จะบ่งบอกได้ และก็ไม่มีข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงว่าเมื่อเรารับเชื่อเราก็รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว หลายครั้งการที่รู้สึกขนลุกเมื่อนมัสการ อธิษฐาน หรือรู้สึกวูบๆ วาบๆ ในร่างกายเมื่อเข้าไปอยู่ในบรรยากาศในการทรงสถิตของพระวิญญาณก็ไม่ใช่เป็นการรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนที่รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาทั้งการรับใช้และชีวิตในการอธิษฐานและการนมัสการ ดูในพระธรรมกิจการ ๒:๑-๔ “เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์ มาถึง จำพวกศิษย์จึงรวมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด” เมื่อเขาประกอบหรือเปี่ยมล้นไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆ และในพระธรรมกิจการ ๘:๑๕-๑๗ “ครั้นเปโตรกับยอห์นไปถึงก็อธิษฐานเผื่อเขา เพื่อให้เขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ได้เสด็จลงมาสถิตกับผู้ใด เป็นแต่ได้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระเยซูเจ้าเท่านั้น(ในน้ำ) เปโตรกับยอห์นจึงวางมือบนเขา แล้วเขาทั้งหลายก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์” เมื่อเขาทั้งหลายได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซีโมนได้เห็นว่าคนเหล่านั้นได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถามว่าเขาเห็นอะไรและได้ยินอะไร จึงรู้ว่าคนเหล่านั้นได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว สิ่งนี้บ่งบอกให้รู้ว่าต้องมีบางสิ่งที่คนอื่นจะรู้และเห็นว่าเขาเหล่านั้นได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว และในพระธรรมกิจการ ๑๐:๔๕-๔๖ “ฝ่ายพวกที่ได้เข้าสุหนัต ซึ่งเชื่อถือในพระเยซูเจ้า คือที่มาด้วยกันกับเปโตรก็ประหลาดใจ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้ลงมาบนคนต่างชาติด้วย เพราะเขาได้ยินคนเหล่านั้นพูดภาษาต่างๆ และยกย่องสรรเสริญพระเจ้า เปโตรจึงย้อนถามว่า “ใครอาจจะห้ามคนเหล่านี้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนเรา…” เขารู้ได้ว่าคนเหล่านั้นรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์เพราะเขาได้ยินคนเหล่านั้นพูดภาษาต่างๆ และในพระธรรมกิจการ ๑๙:๖ “เมื่อเปาโลได้วางมือบนเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบนเขา เขาจึงพูดภาษาแปลกๆ และได้ทำนายด้วย” เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาบนเขา เขาจึงพูดภาษาแปลกๆ การรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเห็นได้ชัดและเป็นประสบการณ์หนึ่ง โดยการพูดภาษาแปลกๆ ดังนั้นจึงสามารถพูดได้ว่า “ภาษาแปลกๆ เป็นสัญลักษณ์”ของการรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์
ภาษาแปลกๆ มี ๒ อย่าง คือ ภาษาแปลกๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของการรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือทุกคนที่รับแล้วจะพูดได้แต่แปลไม่ได้ เมื่อเขาพูดด้วยใจอธิษฐานจะทำให้เขาได้รับการปลดปล่อยและนำเขาเข้าใกล้ชิดพระเจ้า และจะช่วยเขาในเวลาอธิษฐานเป็นการส่วนตัวมากขึ้นตามที่อาจารย์เปาโลได้กล่าวไว้ ในพระธรรม ๑โครินธ์ ๑๔:๒, ๔-๕, ๑๘, ๒๒, ๒๘ “เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใด ที่พูดภาษาแปลกๆ ได้ ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนใดเข้าใจได้ แต่เขาพูดเป็นความล้ำลึกฝ่ายพระวิญญาณ,ฝ่ายคนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้น ก็ทำให้ตนเองเจริญฝ่ายเดียว แต่ผู้เผยพระวจนะนั้นย่อมทำให้คริสตจักรจำเริญขึ้น ข้าพเจ้าใคร่ให้ท่านทั้งหลาย พูดภาษาแปลกๆ ได้ แต่ยิ่งกว่านั้นอีก ข้าพเจ้าปรารถนาจะให้ท่านทั้งหลายเผยพระวจนะได้ เพราะว่าผู้เผยพระวจนะได้นั้นก็ใหญ่กว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆ ได้ เว้นแต่เขาสามารถแปลภาษานั้นๆ ออก เพื่อคริสตจักรจะได้รับความเจริญขึ้น ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ มากกว่าท่านทั้งหลายอีก เหตุฉะนั้นการพูดภาษาแปลกๆ จึงไม่เป็นหมายสำคัญแก่คนที่เชื่อแต่เป็นนิมิตแก่คนที่ไม่เชื่อ แต่การเผยพระวจนะนั้น ไม่ใช่สำหรับคนที่ไม่เชื่อ แต่สำหรับคนที่เชื่อแล้ว แต่ถ้าไม่มีผู้ใดแปลได้ก็ให้คนเหล่านั้นอยู่เงียบ ๆ ในที่ประชุม และให้พูดกับตัวเอง และทูลต่อพระเจ้า” แต่สำหรับภาษาแปลกๆ ที่เป็นของประทานนั้นจะแปลได้ บางครั้งคนที่พูดก็แปลเองได้ หรือบางครั้งคนหนึ่งพูดและอีกคนหนึ่งแปลให้ ภาษาแปลกๆ ที่เป็นของประทานเป็นประโยชน์สำหรับคนอื่นจึงใช้ในที่ประชุมได้ เพื่อเสริมสร้างคริสตจักรตาม ๑โครินธ์ ๑๔:๒๗ “ถ้าผู้ใดจะพูดภาษาแปลกๆ จงให้พูดเพียงสองคนหรืออย่างมากที่สุดก็สามคน และให้พูดทีละคน และให้อีกคนหนึ่งแปล” ๑โครินธ์ ๑๒:๑๐-๑๑“….และให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆ ได้ สิ่งสารพัดเหล่านี้ พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงบันดาลและประทานแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์” แต่ถ้าเป็นภาษาแปลกๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของการับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น เขาจะใช้คุยกับพระเจ้าเป็นส่วนตัว เพราะจะช่วยเขาเป็นให้จำเริญขึ้นฝ่ายเดียว
ความเข้าใจที่ว่าเมื่อเรารับเชื่อเราก็ได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วนั้น หรืออาจเข้าใจเป็นว่าภาษาแปลกๆ มีอย่างเดียวคือที่เป็นของประทานเท่านั้นเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นจึงมีคำสอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่พูดภาษาแปลกๆ ได้เพราะเป็นของประทาน เพราะถ้าเป็นของประทานเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะมีของประทานอย่างเดียวกัน คือมีคนเป็นจำนวนมากในคริสตจักรเดียวที่พูดภาษาแปลกๆ แทบทุกคนแต่แปลไม่ได้ แต่ก็จะมีบางคนเท่านั้นที่แปลได้ เท่าที่ได้ตรวจดูในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ภาษาแปลกๆ มีสองอย่าง คือที่เป็นสัญลักษณ์ของการรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์คือ ทุกคนที่รับจะพูดได้ แต่ที่เป็นของประทานนั้นไม่ใช่ทุกคนที่พูดได้ คือคนที่มีของประทานเท่านั้นที่พูดได้และแปลได้หรือคนที่มีของประทานในการแปลก็จะแปลให้ได้
๔. ใครเป็นผู้ให้บัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ?
พระเยซูคริสต์เป็นผู้ให้ไม่ใช่มนุษย์ เพราะยอห์นได้พยากรณ์ไว้อย่างชัดเจน ในพระธรรมมัทธิว ๑:๑๑ “เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะถอดฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลาย รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ” มนุษย์เป็นผู้วางมือแต่พระเยซูเป็นผู้ให้ จึงไม่มีการบังคับหรือเคี่ยวเข็ญกันให้รับ และภาษาแปลกๆ ก็ฝึกพูดไม่ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับพระเยซูคริสต์ผู้เดียว
๕. เราจะรับได้อย่างไร ?
(๕.๑) เราต้องมีความหิวกระหาย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เราต้องมีความต้องการและปรารถนาจากหัวใจของเราอย่างแท้จริง พระเจ้าไม่บังคับ ต้องเป็นการแสวงหาด้วยการอธิษฐาน ใช้เวลาจดจ่ออยู่กับพระเจ้า ในพระธรรมกิจการ ๑:๑๓-๑๔ “เมื่อเข้ากรุงแล้วเขาเหล่านั้นจึงขึ้นไปยังห้องชั้นบนที่เคยพักอยู่นั้น มีเปโตร ยอห์น ยากอบกับอันดรูว์ ฟีลิปกับโธมัส บารโธโลมิวกับมัทธิว ยากอบบุตรอัลเฟอัส ซีโมน พรรคชาตินิยม กับยูดาสบุตรยากอบ พวกเขาร่วมใจกันขะมักเขม้นอธิษฐานพร้อมกับพวกผู้หญิง และมารีย์มารดาของพระเยซูและพวกน้องชายของพระองค์ด้วย” หลายคนไม่ได้รับเพราะเขาไม่ต้องการ ไม่แสวงหา ไม่เอาจริงเอาจัง และบางคนก็ไม่เห็นด้วยและแถมยังต่อต้านด้วยซ้ำ เพราะพระเยซูทรงสัญญาไว้แล้วในพระธรรมมัทธิว ๗:๗-๘ “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา”
(๕.๒) ให้ขอต่อพระเจ้า ในพระธรรมลูกา ๑๑:๑๓ “เพราะฉะนั้นถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์” มีบางคนชอบสรุปเอาง่ายๆ จากสายตาที่มองเห็นภายนอกว่า อาการของคนที่รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั้นไม่ใช่มาจากพระเจ้า และก็ไม่ใช่เป็นอาการของคนที่พระวิญญาณทรงสำแดงกับเขา แต่เป็นอาการของคนที่ถูกผีเข้ามากกว่า หากเราอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้แล้วและทำความเข้าใจให้ดี เรากำลังเข้าใจพระเจ้าผิดไปจากความเป็นจริงตามที่พระวจนะกล่าวไว้แล้วว่า ถ้าเราอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์มีหรือพระเจ้าจะทรงอนุญาตหรือให้วิญญาณชั่วเข้ามาแทนที่ เป็นไปไม่ได้ ให้เราไว้ใจในพระเจ้าว่า “หากเราขอสิ่งใดเราจะได้ตามที่เราขอ” ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีและโดยเฉพาะเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า และการขอรับบัพติสมาในพระวิญญาณเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าอยู่แล้วสำหรับผู้เชื่อทุกคน เป็นพระสัญญาที่จะให้กับทุกคนที่ขอและแสวงหาพระองค์อย่างจริงใจ
(๕.๓) รอคอยพระองค์ ทำไมต้องรอคอยทั้งๆ ที่พระองค์เสด็จมาแล้ว คอยเพื่อดูแรงจูงใจของเราว่ามาหาพระเจ้าและต้องการการเจิมของพระองค์ด้วยเหตุผลใด ไม่ใช่แบบซีโมนในพระธรรมกิจการ ๘:๑๘-๑๙ “เมื่อซีโมนเห็นว่า คนเหล่านั้นได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยการวางมือของอัครทูต จึงนำเงินมาให้อัครทูต และว่า ขอให้ข้าพเจ้ามีฤทธิ์อย่างนี้ด้วย เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าจะวางมือบนผู้ใด ผู้นั้นจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์” เขาหวังที่จะรับฤทธิ์เดช ไปเพื่อเสริมบารมีของตน ดูเป็นผู้วิเศษมากขึ้น และเพื่อผู้คนจะศรัทธาในตัวเขามากขึ้น ผลที่ตามมาก็คือ เกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง ของเขานั่นเอง การรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่เพื่อเสริมบารมีตัวเอง หรือเพื่อตนจะเป็นผู้มีฤทธิ์เดช ทำการอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ แล้วคนจะได้ศรัทธา ยอมรับ นับถือผู้นั้น แต่เพื่อปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์คือคริสตจักรนั่นเอง ดังนั้นชีวิตเราทุกคนต้องได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เพื่อเป็นภาชนะที่พระเจ้าจะใช้การได้ในงานของพระองค์ให้เกิดผลเพื่อพระเจ้าไม่ใช่เพื่อตนเอง ในพระธรรม๒โครินธ์ ๔:๗ “แต่ว่าเรามีของมีค่านี้อยู่ในภาชนะดิน เพื่อให้เห็นว่า ฤทธิ์เดชอันเลิศนั้นเป็นของพระเจ้า ไม่ได้มาจากตัวเราเอง” บางคนต้องคอยเพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจให้ถูกต้องหรือตรวจสอบแรงจูงใจอย่างถูกต้องก่อน หรือบางคนยังไม่ได้รับก็เพราะยังขาดความเข้าใจ ไม่มีการสอนในเรื่องนี้ คือไม่รู้ ดังเช่นผู้เชื่อที่เมืองเอเฟซัส ในพระธรรมกิจการ๑๙:๑-๗ “เปาโลได้ไปตามที่ดอน แล้วมายังเมืองเอเฟซัส ท่านพบสาวกบางคนที่นั่น จึงถามเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเชื่อนั้น ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า” เขาตอบว่า “เปล่า เรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเราก็ยังไม่เคยได้ยินเลย” เปาโลจึงถามเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านได้รับบัพติศมาอันใดเล่า” เขาตอบว่า “บัพติศมาของยอห์น” เปาโลจึงว่า “ยอห์นให้รับบัพติศมาสำแดงถึงการกลับใจใหม่ แล้วบอกคนทั้งปวงให้เชื่อในพระองค์ผู้จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซู” เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น เขาจึงรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูเจ้า เมื่อเปาโลได้วางมือบนเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบนเขา เขาจึงพูดภาษาแปลกๆและได้ทำนายด้วย คนเหล่านั้นมีประมาณสิบสองคน” เขาไม่เข้าใจจึงยังไม่ได้รับแต่พออาจารย์เปาโลอธิบายบอกให้เขาเข้าใจ และได้วางมือบนเขา เขาจึงได้รับ สำหรับบางคนก็ได้รับง่ายๆ หรือรับทันทีที่ขอ เพราะในสมองไม่มีข้อมูลอะไรมากใจจึงจดจ่ออยู่กับพระเจ้า แต่คนที่มีข้อมูลในสมองเยอะเพราะรับเชื่อมานานแล้ว เขาจะไม่จดจ่อเวลาอธิษฐานแต่จะจดจ่ออยู่ที่ข้อมูลในสมองของเขา คนเหล่านี้จะรับยากมาก ส่วนผู้เชื่อใหม่ทุกคนที่ขอ ส่วนมากก็จะได้รับทันที
(๕.๔) รับเองโดยไม่ต้องวางมือ และในเวลาเดียวกันก็มีการวางมือด้วยตัวอย่าง สาวกผู้เชื่อที่บ้านนายร้อย โครเนริอัส ในพระธรรมกิจการ ๑๐:๔๔- ๔๖ “เมื่อเปโตรยังกล่าวคำเหล่านั้นอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาสถิตกับคนทั้งปวงที่ฟังพระวจนะนั้น ฝ่ายพวกที่ได้เข้าสุหนัตซึ่งเชื่อถือในพระเยซูเจ้า คือที่มาด้วยกันกับเปโตรก็ประหลาดใจ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้ลงมาบนคนต่างชาติด้วย เพราะเขาได้ยินคนเหล่านั้นพูดภาษาต่างๆ และยกย่องสรรเสริญพระเจ้า…” คือขณะที่อัครทูตเปโตรเทศนาอยู่ พวกเขาฟังด้วยความเชื่ออย่างแรงกล้าในสิ่งที่ท่านเปโตรเทศนานั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงเสด็จมาบนเขา คือบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับเขาในขณะที่นั่งฟังคำเทศนานั่นเองโดยไม่ต้องวางมือ แต่ที่เมืองเอเฟซัสเขารับด้วยการวางมือของอาจารย์เปาโล ในพระธรรมกิจการ ๑๙:๔-๕ “เปาโลจึงว่า “ยอห์นให้รับบัพติศมาสำแดงถึงการกลับใจใหม่ แล้วบอกคนทั้งปวงให้เชื่อในพระองค์ผู้จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซู” เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น เขาจึงรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูเจ้า เมื่อเปาโลได้วางมือบนเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบนเขา เขาจึงพูดภาษาแปลกๆ และได้ทำนายด้วย” ขอเพียงมีความเชื่อว่าจะได้รับ พระเจ้าจะทรงประทานให้ทุกคนที่ขอด้วยความเชื่อ
๖. ขนาดของการเจิมไม่เท่ากัน
ผลต่างที่ชีวิตและความว่างเปล่าของภาชนะหมายถึง ชีวิตที่บริสุทธิ์และการยอมจำนนต่อพระเจ้ามากน้อยเพียงไรในชีวิตของคนๆ นั้น คือเขาได้ถวายชีวิตเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าแล้ว ในพระธรรมโรม ๑๒:๑ “พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย” และการเห็นคุณค่ามากน้อยเพียงไรในการที่จะรักษาการเจิมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์(บัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์) บางคนเมื่อได้รับไปแล้วก็ดับพระวิญญาณ ในพระธรรม ๑เธสะโลนิกา ๕:๑๙ “อย่าดับพระวิญญาณ” โดยการไม่ได้ดำเนินชีวิตในพระวิญญาณคือ การดำเนินชีวิตที่ไม่ได้ให้ผลของพระวิญญาณออกมาตามพระธรรมกาลาเทีย ๕:๒๒-๒๕ “ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยาก และตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย” แต่ตรงกันข้ามกลับไปทำบาปหรือไปดำเนินชีวิตตามเนื้อหนัง ตามกิเลสตัณหาของตน ไม่ได้ติดสนิทด้วยการอธิษฐานหรืออ่านพระคัมภีร์ ควรระมัดระวังในการดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ในพระธรรมกาลาเทีย ๕:๑๖-๑๗ จึงเตือนไว้ว่า “แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ อย่าสนองความต้องการของเนื้อหนัง เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนาทำจึงกระทำไม่ได้” มีคนเป็นจำนวนมากที่รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว แต่ก็ยังไปดำเนินชีวิตตามอย่างโลกนี้ ตามกระแสและค่านิยมของโลกที่ขัดกับพระวจนะของพระเจ้าและต่อพระวิญญาณ เขาจึงทำให้พระวิญญาณทรงเสียพระทัย อาจารย์เปาโลจึงเตือนในพระธรรมโรม ๑๒:๒ ว่า “อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม” เมื่อเขาดำเนินชีวิตตามเนื้อหนังก็เป็นศัตรูต่อพระวิญญาณ จึงทำให้เขาอ่อนแอลงฝ่ายวิญญาณพอนานวันเข้าการรับบัพติสมาในพระวิญญาณก็กลายเป็นประสบการณ์ในอดีตไป เพราะเขาไม่ได้รักษาการเจิมไว้ด้วยการดำเนินชีวิตในพระวิญญาณแต่ดำเนินตามเนื้อหนัง การอธิษฐานเป็นภาษาแปลกๆ ก็เลยกลายเป็นเหมือน เสียงฉิ่ง เสียงฉาบไป ไม่ได้มีความหมายสำหรับเขา และก็ไม่ได้เป็นการเสริมสร้างฝ่ายวิญญาณส่วนตัวของเขาอีกต่อไป เหมือนชาวเมืองกาลาเทีย ในพระธรรมกาลาเทีย ๓:๓-๕ “ท่านเขลาถึงเพียงนั้นทีเดียวหรือ เมื่อท่านเริ่มต้นมาด้วยพระวิญญาณแล้ว บัดนี้ท่านจะจบลงด้วยเนื้อหนังหรือ ท่านได้รับประสบการณ์มากมายโดยไร้ประโยชน์หรือ ถ้าเป็นการไร้ประโยชน์จริงๆ แล้ว พระองค์ผู้ทรงประทานพระวิญญาณแก่ท่าน และทรงสำแดงอิทธิฤทธิ์ท่ามกลางพวกท่าน ทรงกระทำการเช่นนั้นโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติหรือ หรือโดยการฟังด้วยความเชื่อ” ปัญหาอยู่ที่คน ไม่ใช่อยู่ที่ประสบการณ์ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งดีทุกอย่างมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น
๗. เราจะรับบัพติสมาพระวิญญาณบริสุทธิ์เมื่อไร ?
(๗.๑) บางคนรับพร้อมกับเมื่อมีใจเชื่อในพระเยซู ตัวอย่างที่บ้านนายร้อยโครเนริอัสขณะเมื่อเขาฟังพระวจนะจากท่านเปโตรและมีใจเชื่อ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบัพติสมาบนเขา เขารับพร้อมกับรับเชื่อในพระเยซูคริสต์
(๗.๒) บางคนรับเชื่อแล้วเมื่อเรียนเรื่องนี้เข้าใจแล้วก็รับได้ แต่ก็มีคริสเตียนอีกประเภทหนึ่งที่รับเชื่อแล้วแต่ก็ยังไม่ได้รับพระวิญญาณทันที เพราะยังไม่ได้เรียนรู้ในเรื่องนี้หรือไม่ได้รับการสอน แต่เมื่อเขาได้รับการเรียนรู้เรื่องนี้แล้วเขาก็รับได้ นั่นก็แล้วแต่คริสตจักรแต่ละแห่งจะเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ด้วย ถ้าเห็นความสำคัญก็จะสอนแล้วให้สมาชิกมีประสบการณ์ แท้ที่จริงเรื่องของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่เรื่องของคณะนิกาย แต่เป็นเรื่องระหว่างผู้เชื่อกับพระเจ้าโดยตรง เพราะพระเยซูทรงสัญญากับผู้เชื่อทุกคน เมื่อเขาเชื่อแล้วเขาจะรับบัพติสมาสองอย่างคือ ในน้ำและในพระวิญญาณบริสุทธิ์
๘. ผลของการรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบน และส่งลงมาจากพระบิดาแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระบิดาไม่มีการแปรปรวน หรือไม่มีเงาอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง
(๘.๑) ความกล้าหาญและฤทธิ์เดชในการเป็นพยาน ในพระธรรมกิจการ ๑:๘ “แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” นั่นคือจุดประสงค์ในการที่พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาบนผู้เชื่อทุกคน เพื่อเขาจะมีความกล้าหาญในการประกาศข่าวประเสริฐ เพื่อข่าวประเสริฐที่ประกาศออกไปนั้นจะประกอบด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ด้วยปัญญาความรู้ของมนุษย์เท่านั้น และในพระธรรมโรม ๑:๑๖ “เพราะว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด พวกยิวก่อน แล้วพวกต่างชาติด้วย” การที่คนหนึ่งคนใดจะรับเชื่อในพระเยซูคริสต์นั้น ไม่ได้เกิดจากการเกลี้ยกล่อมด้วยวาจาของมนุษย์ แต่เป็นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในใจผู้นั้นที่กำลังฟังข่าวประเสริฐ และพระเจ้าก็ทรงรับรองข่าวประเสริฐที่เขาประกาศนั้นด้วยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ ตามพระสัญญาที่ทรงสัญญาไว้ ในพระธรรมมาระโก ๑๖:๑๗-๑๘ ว่า “ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า ‘เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลกๆ เขาจะจับงูได้ ถ้าเขากินยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค” พระเยซูจึงทรงกำชับสาวกของพระองค์ไม่ให้ออกไปไหน แต่ให้รอคอยที่จะรับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก่อนที่เขาจะออกไปประกาศเป็นพยานฝ่ายพระองค์และเพื่อการรับใช้ปรนนิบัติในพระราชกิจต่าง ๆ
(๘.๒) ความยำเกรงพระเจ้า, การเชื่อฟังและมีใจกว้างขวาง,พระเจ้านำคนเข้ามาเชื่อ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในใจผู้ที่รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ และรวมไปถึงการหิวกระหายในการสรรเสริญนมัสการ การอธิษฐานในชีวิตประจำวันของเขาด้วย ในพระธรรมกิจการ ๒:๔๓-๔๗ “เขามีความเกรงกลัวด้วยกันทุกคน และพวกอัครทูตทำการอัศจรรย์ และหมายสำคัญหลายประการ บรรดาผู้ที่เชื่อถือนั้นก็อยู่พร้อมกัน ณ ที่แห่งเดียว และทรัพย์สิ่งของของเขาเหล่านั้นเขาเอามารวมกันเป็นของกลาง เขาจึงได้ขายที่ดินและทรัพย์สิ่งของ มาแบ่งให้แก่คนทั้งปวงตามซึ่งทุกคนต้องการ เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหาร และหักขนมปังตามบ้านของเขา ร่วมรับประทานอาหารด้วยความชื่นชมยินดีและใจกว้างขวาง ทุกวันเรื่อยไป ทั้งได้สรรเสริญพระเจ้าและคนทั้งปวงก็ชอบใจ ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลายซึ่งกำลังจะรอด มาเข้ากับพวกสาวกทุกวันๆ” นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่ผู้เชื่อภายหลังเขาได้รับการเต็มล้นไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาเกรงกลัวพระเจ้าและเชื่อฟังคำสอนของอัครสาวกและมีความรัก ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันตลอดทั้งมีใจเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันและกันต่อพระราชกิจของพระเจ้า เขาทั้งหลายได้ถวายด้วยใจกว้างขวาง เมื่อชีวิตผู้เชื่อเป็นเช่นนี้พระเจ้าก็ทรงนำคนเข้ามารับความรอดทุกวัน นี่คือการเพิ่มพูนคริสตจักรด้วยการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมถึงบรรยากาศในคริสตจักรจะเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี ความกระตือรือร้นในการรับใช้พระเจ้า
(๘.๓) ได้รับของประทานในการรับใช้ ๙ อย่าง ในพระธรรม ๑โครินธ์ ๑๒:๘-๑๑ “พระเจ้าทรงโปรดประทานโดยทางพระวิญญาณ ให้คนหนึ่งมีถ้อยคำประกอบด้วยสติปัญญา และให้อีกคนหนึ่งมีถ้อยคำอันประกอบด้วยความรู้ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความเชื่อ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความสามารถรักษาคนป่วยได้ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งทำการอิทธิฤทธิ์ต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งเผยพระวจนะได้ และให้อีกคนหนึ่งรู้จักสังเกตวิญญาณต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆได้ สิ่งสารพัดเหล่านี้ พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงบันดาลและประทานแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์” พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เพียงที่จะช่วยให้เรามีความกล้าหาญในการประกาศข่าวประเสริฐเท่านั้น พระองค์ยังทรงประทานของประทานให้แก่ผู้เชื่อในการเสริมสร้างคริสตจักรให้จำเริญขึ้นอีกด้วย นี่คือของประทาน ๙ อย่างที่พระวิญญาณบริสุทธ์ทรงประทานให้แก่ผู้ที่ได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธ์ แต่ก็น่าเสียดายที่คริสเตียนเป็นจำนวนมากที่จบลงที่กิเลสตัณหาของตน คือเพียงต้องการได้รับการเจิมเพื่อให้ตนรู้สึกดี มีสันติสุขได้รับการปลดปล่อยจากปัญหา ได้แสดงออกทางกายภาพ เพราะจะเหมือนคนเมาเหล้า คนที่ดื่มเหล้าเขาจะชอบตอนที่กล้าแสดงออกตอนเมาไม่ใช่เพราะดื่มในรสชาติ ในพระธรรมเอเฟซัส ๕:๑๘ “และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงประกอบด้วยพระวิญญาณ” พระธรรมตอนนี้จึงได้เปรียบเทียบการเต็มล้นไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนคนที่เมาเหล้า คือลักษณะเหมือนคนเมาจึงทำให้เกิดมีการเข้าใจผิดขึ้นในพระธรรมกิจการ ๒:๑๓ “แต่บางคนเยาะเย้ยว่า คนเหล่านั้นเมาเหล้าองุ่นใหม่” และเมื่อคนเห็นสาวกรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาก็มองเป็นคนเมาเหล้า พวกเขาได้รับการปลดปล่อยในการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า การอธิษฐานด้วยใจร้อนรน การนมัสการที่แสดงออกทางกายด้วย คือ ได้รับการปลดปล่อยอย่างเต็มที่ รวมถึงการร้องไห้ การหัวเราะอย่างชื่นชมยินดีจึงทำให้คนมักเข้าใจผิดคิดว่าคนเหล่านั้นเมา แต่คริสเตียนเป็นจำนวนมากก็จะจบลงเพียงเท่านี้ เขาไม่ก้าวต่อไปให้พระวิญญาณนำในชีวิตของเขาที่จะมีผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์และของประทานออกมาในการรับใช้เพื่อเสริมสร้างคริสตจักรให้โตขึ้น รวมทั้งตัวของเขาเองด้วย เราจะต้องโตขึ้น มีชีวิตที่แสดงผลของพระวิญญาณออกมาและรวมไปถึงการรับใช้ตามของประทานที่เกิดผล ไม่ใช่เน้นอาการภายนอกเบื้องต้นที่ซ้ำซาก แต่แสวงหาของประทานเพื่อจะรับใช้พระเจ้า เพื่อให้คริสตจักรเจริญขึ้น ในพระธรรม ๑โครินธ์ ๑๔:๑๒ “เหตุฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายกำลังร้อนใจแสวงหาของประทานฝ่ายพระวิญญาณแล้ว ก็จงอุตส่าห์กระทำตัวของท่าน ให้สามารถที่จะทำให้คริสตจักรจำเริญขึ้น” และยิ่งกว่านั้นไม่ทำให้เกิดปัญหาเหมือนคริสตจักรในโครินธ์ ที่เน้นแต่ของประทานอย่างเดียวมากเกินไป คือเฉพาะภาษาแปลกๆ หรือเน้นแต่ของประทานที่ตนมีประสบการณ์เท่านั้นว่าดีเยี่ยมกว่าใคร ของคนอื่น ที่ไม่มี ด้อยกว่า หรือใช้ไม่ได้ ควรรับใช้ตามของประทานที่พระเจ้าทรงประทานให้ ไม่พยายามที่จะตามแบบอย่างคนอื่นๆ แต่จะพัฒนาของประทานของตนเพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ การที่จะได้ร่วมเสริมสร้างในพระกายนั้น เราต้องเข้าร่วมสามัคคีธรรมคือเข้าร่วมกิจกรรมในคริสตจักร เข้าร่วมกลุ่มย่อย เข้าหาคนอื่น มีชีวิตที่สนใจ ห่วงใยและคลุกคลีกับคนอื่น ของประทานทุกอย่างที่พระเจ้าให้กับผู้เชื่อทุกคนนั้นก็เพื่อเสริมสร้างผู้อื่นทั้งนั้น หลายคนมีของประทานแต่ไม่ได้ใช้เพราะเขาไม่ยอมที่จะใช้ชีวิตสนิทสนมกับคนอื่นและผูกพันตัวเองกับคริสตจักร จึงจบลงที่ประสบการณ์เบื้องต้นเท่านั้น
ช. ประการที่เจ็ด ถูกชำระด้วยลมและไฟ
ในพระธรรมมัทธิว ๓:๑๒ “พระหัตถ์ของพระเจ้าถือพลั่ว พร้อมแล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว พระองค์จะทรงเก็บข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ” ถ้าคนที่ไม่ใช่ชาวไร่ชาวนาและยิ่งไม่ใช่ชาวนาในอดีตด้วยแล้วจะกกจจจจจจจะไม่เข้าใจในเรื่องนี้เลย ในสมัยก่อนที่ยังไม่ใช้เครื่องจักรกลเข้ามาช่วยในการเก็บเกี่ยวข้าว การเก็บเกี่ยวข้าวเข้ายุ้งฉางนั้นจะมีกระบวนการหลายขั้นตอนด้วยกัน เช่นเมื่อเกี่ยวข้าวแล้วขั้นแรก คือถ้ามีข้าวละมานที่ปนอยู่เขาก็จะคัดออกไป ไม่เอาแต่จะเก็บเอาไปกองไว้ต่างหากไม่ให้ปนกับข้าวดี พอแห้งแล้วเขาก็จะเผาทิ้งเสียเกรงว่ามันจะขึ้นมามากกว่าเดิมถ้าเมล็ดยังอยู่ คือต้องเผาทิ้งสถานเดียวแม้เป็ดหรือไก่ที่เป็นสัตว์เลี้ยง มันยังไม่กินเลย และข้าวดีก็จะวางไว้เป็นฟ่อนๆ อย่างมีระเบียบบนตอข้าว เมื่อเกี่ยวเสร็จก็จะรอสักระยะหนึ่งก็จะรวบรวมไปกองไว้เป็นระเบียบเพื่อรอให้ข้าวแห้งพอ เพราะเมื่อฟาดหรือตีเมล็ดออกจะได้หลุดง่าย ๆ และเพื่อไม่ให้เกิดเชื้อราด้วย หลังจากนั้นเขาก็จะเตรียมลานข้าวคือเตรียมกรุยดินให้เรียบและกว้างพอสมควร หลังจากนั้นก็จะเอามูลควายไปผสมกับน้ำและฟางที่สับละเอียด แล้วนำไปเทลาดลงบนดินที่เกลี่ยไว้แล้วกวาดให้เรียบ ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วมันจะคล้ายกับฉาบด้วยปูนแข็งเรียบไม่ร่อนถ้าไม่โดนน้ำ เพราะเมื่อทำเสร็จก็จะได้กลายเป็นปุ๋ยเลย แต่ถ้าใช้ปูนซีเมนต์จะเสียเวลาทุบและโกยทิ้ง หลังจากนั้นเขาก็จะเอากระบุง(็็็ภาษาเหนือเรียกว่า คุ) สูงประมาณเมตรกว่า และปากกว้างประมาณ ๒- ๓ เมตร มาวางใกล้ๆ กับลานข้าว และก็ใช้ไม้ที่ผูกด้วยหนังวัวหนีบเอาฟ่อนข้าวแล้วฟาดหรือตีลงบนกระบุงนั้น พอตีเต็มกระบุงแล้วก็เป็นขั้นตอนที่จะเก็บข้าวเข้ายุ้งฉาง เขาก็จะใช้พลั่วที่ทำด้วยไม้แผ่นเดียวและมีก้านยาว และคนนั้นก็จะไปยืนบนกระบุงและใช้พลั่วตักข้าวโยนลงไปที่ลาน(ต้องทำตอนมีลม) ข้าวดีก็จะตกที่ลาน ข้าวลีบและฟางหญ้าก็จะปลิวลมไปกองอีกด้านหนึ่งตามแรงลม หลังจากนั้นจึงจะตักข้าวที่ชำระด้วยลมขึ้นเกวียนลากไปไว้เก็บในยุ้งฉาง นี่คือกระบวนการการเลือกสรรเก็บข้าวไว้ของมนุษย์ แล้ววิธีการของพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน เหตุการณ์นี้เป็นเหมือนการแยก การชำระให้สะอาด การพิพากษาคนในโลกนี้และรวมไปถึงคริสเตียนด้วย ในเรื่องนี้ก็คล้ายกันกับเรื่องอวนที่ลากปลามาเป็นจำนวนมาก อวนเป็นเหมือนคริสตจักรที่นำคนเป็นจำนวนมากเข้ามาในคริสตจักร และหลังจากนั้นก็จะมีการคัดปลา เอาปลาที่ต้องการเท่านั้น ปลาที่ไม่ต้องการก็โยนทิ้งไป พระเยซูคริสต์จะเป็นผู้คัดปลาและชำระลานข้าว เราทั้งหลายที่เชื่ออยู่ในคริสตจักรก็เป็นเหมือนปลาและข้าวที่ต้องถูกคัดและชำระให้สะอาด ไม่ใช่ทุกคนที่อยู่ในคริสตจักรจะเป็นปลาที่พระเยซูทรงประสงค์ทั้งหมด ต่างก็จะต้องถูกคัดอีกครั้งหนึ่ง อันที่จริงกระบวนการการชำระก็เริ่มขึ้นแล้ว ไม่ต้องรอวันสุดท้ายคือวันพิพากษาหากจะสังเกตดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคริสตจักรหรือท่ามกลางผู้เชื่อ
๑. สาเหตุที่ต้องชำระ
(๑.๑) ข้าวกลายพันธุ์ เหมือนชาวนาก่อนปลูกก็คัดสรรเมล็ดพันธุ์แล้ว แต่ก็ยังมีข้าวที่ไม่ดีซึ่งนำมารับประทานไม่ได้เพราะมันแข็งมากหรือไม่สมบูรณ์ปะปน ต้องคัดสายพันธุ์ทุกปีเพราะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น จึงทำให้ข้าวไม่ดีแปลกปลอมเข้ามาได้ เป็นฝีมือของใคร ? ในพระธรรมมัทธิว ๑๓:๒๔-๓๐ “พระองค์ตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือน คนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีนั้นไว้แล้วก็หลบไป ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ขึ้นปรากฏด้วย ทาสแห่งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า‘นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีไว้ในนาของท่านมิใช่หรือ แต่มีข้าวละมานมาจากไหน’ นายก็ตอบว่า ‘นี่เป็นการกระทำของศัตรู’ พวกทาสจึงถามว่า ‘ท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปถอนและเก็บข้าวละมานหรือ’ แต่นายตอบว่า ‘อย่าเลยเกลือกว่า เมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า ‘จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวดีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา’ ” เช่นเดียวกับคนเป็นจำนวนมากที่มาเชื่อรับความรอดแล้ว และเรียกตัวเองว่าคริสเตียน สำหรับแรงจูงใจไม่ใช่ทุกคนที่ปรารถนาจะมีชีวิตใหม่ หรือต้องการการเปลี่ยนแปลงชีวิตแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งก็อาจมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ตอนต้นๆ ร้อนรนเอาจริงเอาจัง พอเป็นคริสเตียนไปนานๆ เข้า ๒ ปี, ๔ ปี, ๑๒ ปี, ๒๐ ปี, ๓๐, ๔๐…ปี บางคนอาจจะไม่ถึง และได้รับพระวจนะที่เป็นเหมือนเมล็ดข้าวที่ดีเข้ามาปลูกฝังในชีวิต แต่ในเวลาเดียวกันก็ปล่อยโอกาสให้มารเข้ามาหว่านเมล็ดไม่ดีเข้ามาในใจ แย่ไปกว่านั้นคือมารยังจิกเมล็ดที่ดีออกไปจากชีวิตอีก จึงเริ่มเป็นคริสเตียนกลายพันธุ์ไป แทนที่อายุการเป็นคริสเตียนของเขาที่นานวันเข้าเท่าไรจะยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้น รักพระเจ้ามากขึ้น รับใช้มากขึ้น ถ่อมใจลงมากขึ้น เชื่อฟังมากขึ้น ทำบาปน้อยลง เป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น แต่กลับตรงกันข้าม ซึ่งแต่ละคนต้องมาวิเคราะห์ชีวิตคริสเตียนตนเอง อย่ามัวแต่ไปวิเคราะห์ผู้อื่น ว่าบัดนี้ชีวิตคริสเตียนเริ่มเจริญขึ้นหรือถอยหลัง เคยร้อนรนตอนนี้เป็นอย่างไร เคยรับใช้อย่างแข็งขันเกิดผลบัดนี้เป็นอย่างไร เคยรักพระเจ้าเสียสละบัดนี้ก้าวหน้าหรือถอยหลัง มีคนบอกว่าเป็นคริสเตียนนานๆ ต้องระวังเชื้อของฟาริสี คือจะกลายเป็นคริสเตียนฟาริสี ชอบคอยตำหนิติเตียนคนอื่น จับผิดคนอื่น วิพากวิจารณ์ชีวิตและการรับใช้ของคนอื่น หรือบางทีต่อหน้าคนก็ทำตัวดูเป็นคนชอบธรรม แต่ลับหลังกลับน่ากลัวเต็มไปด้วยการหน้าไหว้หลังหลอก เป็นพวกที่มีแต่คำพูด รู้พระวจนะแต่ไม่ทำตาม เที่ยวไปสั่งสอนแต่คนอื่น แต่ไม่ใส่ใจในพฤติกรรมของตน เป็นหินสะดุดในคริสตจักร ซึ่งเราต้องระวังที่จะไม่กลับกลายเป็นเช่นนั้น ความรักที่มีต่อพระเจ้ามันจืดจางลงและมีสิ่งอื่นมาแทนที่ไหม รับใช้น้อยลงแต่ใช้พระเจ้ามากขึ้นหรือเปล่า หยิ่งผยองจองหองพองขนไม่หวั่นเกรงใคร ไม่มีใครกล้าแตะต้องไหม ใจแข็งกระด้างไม่มีท่าทีตอบสนองพระวจนะเลย ทำบาปไม่รู้สึกผิด เฉยๆ ตายในบาป ไม่ยำเกรงพระเจ้า และคริสตจักรที่มีอายุนานๆ ก็ต้องระวัง บางทีก็เต็มไปด้วยการแตกแยก แบ่งกันเป็นก๊กเป็นเหล่า ทะเลาะกัน อิจฉากัน ชิงดีชิงเด่นกัน การปรนนิบัติรับใช้กลายเป็นการแสวงหาเกียรติ หากคริสตจักรเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้หรือคนเช่นนี้ก็ยากที่จะเข้าแผ่นดินของพระเจ้า พระองค์ต้องเข้ามาแยกคัดและชำระก่อนอย่างแน่นอน เพื่อจะได้ข้าวดี (คนดีพร้อม) เข้าไปในแผ่นดินของพระองค์ ต้องระวัง ! ที่จะไม่เป็นคริสเตียนกลายพันธุ์
(๑.๒) ชีวิตที่พลาดพลั้ง ชีวิตคริสเตียนทุกคนเมื่อมาเชื่อแล้วจะได้รับการชำระบาปในอดีตและปัจจุบันแล้ว แต่ชีวิตภายหลังจากเชื่อนั้นสำคัญว่าจะดำเนินชีวิตไปอย่างไร จะยังดำเนินไปเหมือนเดิมหรือไม่ ยังพูด, ทำ, รวมทั้งตอบสนองต่อเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันเหมือเดิมอยู่หรือไม่ เราควรเริ่มต้นดี และที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า โดยการเรียนรู้จากพระคำของพระองค์และเรียนรู้ที่จะกระทำตามไม่หวนกลับไปหาชีวิตเดิมอีก ดังเช่นชนชาติอิสราเอลที่ออกจากการเป็นทาสในอียิปต์แล้ว เมื่อเขาเดินทางไปเรื่อยๆ เริ่มจะพบกับปัญหาเรื่องปัจจัย พวกเขากระหายน้ำ สิ่งแวดล้อมคืออากาศร้อนทำให้การเดินทางเหน็ดเหนื่อย เขาเริ่มท้ออยากกลับไปอียิปต์ ไม่ต้องดิ้นรนอะไร ดำเนินชีวิตเป็นทาสตามคำสั่งดีกว่า เขาเริ่มบ่นและไม่ต้องการที่จะเข้าสู่แผ่นดินตามพระสัญญาแล้ว ไม่สนใจสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ว่าเขาจะพบอะไรในแผ่นดินที่พระเจ้ากำลังพาไป บางครั้งชีวิตคริสเตียนก็ไม่ต่างจากชนชาติอิสราเอล เพราะพระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าในโลกนี้ชีวิตเราจะไม่พบกับปัญหา และความทุกข์ยากลำบาก ตรงกันข้าม ยากอบ ๑.๒ – ๔ “ ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี 3เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง4และจงให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย ” แต่พระองค์จะทรงช่วยเราให้ผ่านปัญหาไปได้ต่างหาก ดังนั้นเมื่อเราเดินกับพระเจ้า เมื่อพบกับปัญหาในการดำเนินชีวิตเช่น ในครอบครัว ในสังคม ในคริสตจักรหรือรอบด้าน เราเริ่มจะเห็นว่าการดำเนินชีวิต คริสเตียนนั้นมันยากเหลือเกิน เพราะต้องสวนกระแสของโลก ยากเหลือเกินที่จะทำตามคำสอนในพระคัมภีร์ เราเริ่มท้ออยากจะกลับไปทางเดิมที่เคยเป็นคือทางโลก เพราะมันง่ายกว่า คือปล่อยชีวิตไปตามกระแส ไม่ต้องสวนกระแส บางทีก็พลาดพลั้งล้มลงในบาปเพราะพ่ายแพ้ต่อการทดลอง จึงกลับไปเป็นทาสบาปอีก ทางฝ่ายร่างกายบางทีอาจจะกลับไปหาสิ่งที่เคยเสพติดมาก่อนและกลับเป็นทาสมันอีก จิตใจที่เคยพ้นจากรากขมขื่นแล้วมีความรักและการให้อภัยเสมอ เริ่มอ่อนแอกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก แถมรากขมขื่นใหม่เริ่มงอกขึ้นมาอีก และบางครั้งพระเจ้าต้องเข้ามาจัดการในชีวิตเราโดยใช้เหตุการณ์ให้เกิดขึ้นเพื่อเราจะได้สำนึกผิดกลับใจจากการกระทำเหล่านั้น หรือบางทีก็เพื่อฟื้นฟูจิตใจของเราให้กลับมาที่เดิม และเริ่มติดตามพระเจ้าต่อไปเพื่อจะไม่กลับไปเป็นทาสอีก และรับการเปลี่ยนใหม่จากพระเจ้า ชีวิตคริสเตียนขณะที่ดำเนินกับพระเจ้านั้นยังไม่สมบูรณ์ครบถ้วน ซึ่งจะต้องเข้าสู่กระบวนการชำระจากพระเจ้าในการดำเนินชีวิตประจำวัน และจะต้องเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนตามพระวจนะเพื่อจะได้ประพฤติอย่างถูกต้อง หากใครคิดว่าตนสมบูรณ์แล้วหลังรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ โดยที่ไม่ต้องกระทำอะไรอีกแล้ว คือไม่ต้องเรียนพระคัมภีร์ ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง แต่ก่อนเคยดำเนินชีวิตอย่างไรเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น เรากำลังเข้าใจผิดอย่างมหันต์ ชีวิตคริสเตียนต้องเปลี่ยนแปลงตลอดตราบเท่าที่เรายังดำเนินกับพระเจ้าทุกวันจนวันสุดท้ายที่เราไปอยู่กับพระเจ้า หรือวันที่พระเยซูเสด็จมาครั้งที่สอง เราต้องเรียนรู้ที่จะปรับปรุงแก้ไขนิสัยหรือการการะทำที่ไม่ถูกต้องทุกวัน การเรียนพระวจนะยังจำเป็นสำหรับเราทุกวัน ซึ่งเป็นเหมือนอาหารฝ่ายวิญญาณ เพราะตราบใดที่ยังไม่สมบูรณ์ก็ต้องเรียนรู้เพื่อจะนำมาปรับปรุงแก้ไขตนเองอยู่เสมอ ถ้าหยุดการเรียนรู้พระวจนะเมื่อไรก็เท่ากับการหยุดชีวิตที่จะเปลี่ยนแปลง คือฝ่ายวิญญาณก็จะขาดอาหาร และเริ่มอ่อนแอลง เพราะการเรียนรู้พระวจนะจุดมุ่งหมายหลักก็คือเพื่อจะนำไปปฏิบัติตาม ไม่มีใครที่รู้หมดแล้วในพระวจนะ หรือมากไปกว่านั้นหากจะถามว่า ปฏิบัติได้หมดหรือยัง แน่นอน ยังไม่มีใครที่จะกระทำตามได้หมดครบถ้วน
๒. วิธีการชำระของพระเจ้า เครื่องมือของพระจ้าก็คือพลั่วและลม พลั่วจะตักและโยนขึ้น พลั่วเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่ลมเป็นธรรมชาติ ปัญหาความทุกข์ยากลำบาก การทดลองที่มาถึงชีวิตของเรามีที่มา ๒ ทางด้วยกัน คือ
(๒.๑) ทางแรก (ปัญหาจากความผิดพลาดของมนุษย์)
ปัญหาความทุกข์ยากลำบากทุกอย่างมาจากความผิดพลาดในการดำเนินชีวิตคริสเตียน พระเจ้าไม่ได้นำมาให้เรา พระเจ้าเป็นความรักบริสุทธิ์และดีครบถ้วน พระองค์ล้วนประกอบการดีเสมอ สิ่งดีทุกอย่างมาจากพระเจ้า สิ่งที่ไม่ดีไม่ได้มาจากพระเจ้า หลายครั้งสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับชีวิตผู้เชื่อมาจากการกระทำของตนเอง ปัญหาบางครั้งเขาเป็นผู้ก่อเพราะเนิ่งมาจากไม่ได้เลือกดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าทรงสอนไว้ บางครั้งก็ทำบาปหรือบางทีเราก็พ่ายแพ้ต่อการทดลอง เกิดการผิดพลาด เพราะหลายครั้งไม่ว่าจะทำอะไรเราไม่ค่อยจะปรึกษาคนของพระเจ้า และ อธิษฐานแสวงหาพระเจ้า หรือไม่รอคอยพระเจ้า จึงผิดพลาด และเมื่อตนต้องเก็บเกี่ยวผลของการกระทำในเหตุการณ์นั้นๆ ที่ไม่ดี แทนที่เขาจะเห็นถึงความบกพร่องและการกระทำของตนเองกลับโทษพระเจ้าใน สุภาษิต ๑๙.๓ “ เมื่อความโง่ของคนใดนำความพินาศมาถึงเขา ใจของเขาก็เกรี้ยวกราดต่อพระเจ้า ” ดังนั้นในทุกสถานการณ์ จะต้องเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่มา ว่าทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น อะไรเป็นสาเหตุ หรือต้นตอของมัน อย่าด่วนที่จะสรุปที่จะโทษผู้อื่นหรือพระเจ้า
(๒.๒) ทางที่สอง เป็นปกติธรรมชาติความเป็นมนุษย์ ปัญหาจากความทุกข์ยากลำบากที่เกิดกับทุกคนมี ๒ ประเภท
ประเภทแรก ปัญหาความทุกข์ยากลำบากและการทดลองเกิดกับทุกคนที่เชื่อเพื่อทดสอบความเชื่อของเขา ตามพระธรรม ๑เปโตร ๑:๖-๗ “ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ เพื่อการลองดูความเชื่อของท่าน อันประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ ซึ่งแม้เสียไปได้ก็ยังถูกลองด้วยไฟ จะได้เป็นเหตุให้เกิดความสรรเสริญ เกิดศักดิ์ศรีและเกียรติ ในเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาปรากฏ” และในพระธรรม ๑โครินธ์ ๑๐:๑๓ “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่าน นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้” ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ไม่ได้บอกว่ามาจากพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงใช้เหตุการณ์เหล่านี้ซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลายที่เชื่อ เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้เชื่อเข้มแข็งเมื่อเขาผ่านปัญหาเหล่านั้นได้ไปด้วยการพึ่งพาในพระเจ้าและมีชัยชนะ เขาจะได้เติบโตขึ้นไปอีกระดับหนึ่งเมื่อเขาเผชิญปัญหาความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ไปได้ด้วยดี หากเรารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะความผิดพลาดของเรา แต่เพราะเนื่องมาจากการที่ยืนหยัดในความเชื่อและเป็นการเชื่อฟังทำตามพระคำของพระเจ้า ขอให้ไว้วางใจในพระเจ้า และเชื่อในพระองค์ว่าจะทรงช่วยให้มีทางหลีกเลี่ยงได้ มีหนทาง มีกำลัง ที่จะทนได้ และจะผ่านไปได้ด้วยการช่วยเหลือของพระเจ้าอย่างแน่นอนตามพระสัญญาของพระองค์
ประเภทที่สอง ปัญหาความยากลำบากซึ่งเป็นความทุกข์ ความสูญเสียซึ่งมันเกิดขึ้นปกติกับทุกคนในโลกนี้อยู่แล้ว เช่น ความเจ็บป่วย ความตาย การสูญเสียจากภัยธรรมชาติต่างๆ ความผิดหวัง หลังการเป็นคริสเตียนสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นก็ไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติ เพราะเราอยู่ในโลกนี้ที่ต้องเผชิญ แต่ภายหลังที่มันผ่านชีวิตเราไปผลที่ตามมาต่างหากสำคัญ มันส่งผลให้ชีวิตเราดีขึ้น หรือนำความตกต่ำหรือสูญเสียมาในชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา คริสเตียนจะมองเหตุการณ์เหล่านี้ไม่เหมือนกับคนที่ไม่เชื่อมอง บางครั้งพระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้คนของพระองค์ที่จะมองไปที่สิ่งนิรันดร์ คือสิ่งที่อยู่เบื้องบนซึ่งพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์มากกว่า แทนที่จะติดกับสิ่งของในโลกนี้ เมื่อผ่านเหตุการณ์เหล่านี้จะเป็นผลพิสูจน์ว่าฝ่ายวิญญาณเป็นเช่นไร มีชีวิตที่เข้มแข็งขึ้นฝ่ายวิญญาณ หรืออ่อนแอและความเชื่อถอยลง มีชัยชนะหรือพ่ายแพ้ มีเสรีภาพหรือตกเป็นทาส รักพระเจ้ามากขึ้นหรือน้อยลง เชื่อฟังพระคัมภีร์มากขึ้นหรือทำผิดกฎมากขึ้น จงประเมินความเสียหายทุกสถานการณ์และทุกเหตุการณ์ตลอดทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา เพื่อจะทำให้เราเข้ามาใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น หรือถอยออกห่างจากพระองค์ เพื่อจะเห็นคุณค่าชีวิตนิรันดร์และสิ่งที่เป็นนิรันดร์มากขึ้น โดยไม่ยึดติดกับสิ่งของในโลกที่เป็นอนิจจัง
๓. สิ่งที่ต้องชำระ คือการกระทำ และผลงาน ก่อนถึงวันพิพากษาใหญ่ก็มีการพิสูจน์ย่อยเกิดขึ้นเป็นระยะ วันเวลาจะทำให้เราเห็นชัดเจน ในพระธรรม ๑โครินธ์ ๓:๑๓ “การงานของแต่ละคนก็จะได้ปรากฏให้เห็น เพราะวันเวลาจะให้เห็นได้ชัดเจน เพราะว่าจะเห็นชัดได้ด้วยไฟ ไฟนั้นจะพิสูจน์ให้เห็นการงานของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร” คนเราจะหลอกคนอื่นได้ไม่นาน ทองแท้แม้เผาด้วยไฟก็ยิ่งบริสุทธิ์ หากเจอความร้อนบ่อยๆ ธาตุแท้ เนื้อแท้ของจริงก็จะออกมาให้เห็น เราเป็นคนอย่างไร มีแรงจูงใจอย่างไรในการกระทำทุกอย่าง ตลอดทั้งการปรนนิบัติพระเจ้าด้วยก็จะปรากฏออกมาให้เห็นด้วยวันเวลาและสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเข้ามาหล่อหลอมชีวิต เมื่อมีสถานการณ์เข้ามากระทบชีวิต สิ่งที่แสดงออกมานั้นแหละคือสิ่งที่อยู่ในชีวิตของคนๆ นั้น สิ่งที่พระเจ้าจะเข้ามาจัดการกับชีวิตคริสเตียน มี ๓ ด้านด้วยกัน คือ
(๓.๑) จัดการกับบาปของเรา (บาปที่ฝังอยู่) ในพระธรรมฮีบรู ๑๒:๑-๔ “เหตุฉะนั้น ครั้นเรามีพยานหมู่ใหญ่อย่างนั้นอยู่รอบข้าง ให้เราทิ้งของหนักทุกสิ่งที่ขัดข้องอยู่ และการผิดที่เรามักง่ายกระทำนั้น และการวิ่งแข่งกันที่กำหนดไว้สำหรับเรานั้น ให้เราวิ่งด้วยความเพียรพยายาม หมายเอาพระเยซูเป็นผู้ริเริ่มความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสำเร็จ เพราะเห็นแก่ความยินดีที่มีอยู่ตรงหน้านั้น พระองค์ได้ทรงทนเอากางเขน ทรงถือว่าความละอายไม่เป็นสิ่งสำคัญอะไร และได้เสด็จประทับเบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้าแล้ว ด้วยว่าท่านทั้งหลายจงพินิจคิดถึงพระองค์ ผู้ได้ทรงทนเอาการติเตียนนินทาของคนบาปต่อพระองค์มากเท่าใด เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่อ่อนระอาใจไป ท่านทั้งหลายยังไม่ได้สู้รบกับความบาปจนถึงโลหิตตก” บางทีเราได้ข่าวหรือเห็นชีวิตของบางคนที่เปลี่ยนไปคือเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดี เราอาจจะคิดไม่ถึงว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนั้น ทำไมเขาจึงทำเช่นนั้นได้อย่างไร ชีวิตเขาดีมาตลอดตั้งแต่เชื่อเป็นไปได้อย่างไร ทำไมเขามาแย่ลงเอาตอนบั้นปลายชีวิต หรือมาล้มลงในบาปตอนสูงวัยหรือตอนเกษียณอายุแล้ว นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีบาปนี้ในชีวิตที่ผ่านมาเลย อันที่จริงแล้วบาปนี้มีอยู่ในตัวเขาอยู่แล้ว และมันเป็นบาปที่ซ่อนอยู่ในใจ สุภาษิต ๔.๒๓ “ จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ ” และในความคิด ซึ่งเขาไม่ยอมจำนนกับพระเจ้า อาจจะปกปิดไว้ เก็บมันและเลี้ยงมันไว้โดยที่ไม่มีใครรู้ ตัวเขาเองอาจจะคิดว่าไม่เป็นไร แต่กว่าที่เขาจะรู้ถึงพิษสงของมันก็ตอนมันโตเต็มที่นี่แหละ มันก็ล้มเขาลงไม่เป็นท่า คือนำเขาไปสู่การกระทำ ตามพระธรรมยากอบ ๑:๑๓-๑๕ “เมื่อผู้ใดถูกล่อให้หลง อย่าให้ผู้นั้นพูดว่า “พระเจ้าทรงล่อข้าพเจ้าให้หลง” เพราะว่าความชั่วจะมาล่อพระเจ้าให้หลงไม่ได้ และพระองค์เองก็ไม่ทรงล่อผู้ใดให้หลงเลย แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อให้หลง เมื่อกิเลสของตัวเองล่อและชักนำให้กระทำตาม ครั้นตัณหาเกิดขึ้นแล้วก็ทำให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็นำไปสู่ความตาย” เมื่อได้ฟังคำสอนถึงบาปเล็กบาปน้อยหลายครั้งเรามักจะคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไร เช่น คิดว่าการดูหนังอ่านหนังสือท่องเน็ตเกี่ยวกับเรื่องเพศไม่เป็นไร เป็นการศึกษา แต่เมื่อหมกมุ่นกับมันมากๆ ขึ้นและเมื่อมันทำให้เชื้อบาปที่มีอยู่ในตัวคนนั้นเริ่มได้อาหาร และก็เริ่มโตขึ้นๆ จนนำไปสู่การกระทำ และเมื่อทำมากขึ้นจนกลายเป็นนิสัยบาป และที่สุดมันก็เข้ามาควบคุมชีวิตทั้งชีวิต และเมื่อมันอยู่ในชีวิตเราแล้ว ยามเมื่อเราต้องการที่จะเลิก และอยากจะหลุดจากมันก็หลุดไม่ได้ เพราะได้กลายเป็นทาสไปแล้ว เราควรรีบจัดการกับบาปในชีวิตเราก่อนที่พระเจ้าจะเข้ามาผ่าตัด หรือจัดการกับมัน เพราะพระเจ้าทรงห่วงวิญญาณจิตของพระองค์ที่อยู่ในเรา ในพระธรรมโรม ๖:๑๒-๑๔ “เหตุฉะนั้นอย่าให้บาปครอบงำกายที่ต้องตายของท่าน ซึ่งทำให้ต้องเชื่อฟังตัณหาของกายนั้น อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และจงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ” และก็อย่าสะสมบาปไว้รอจนถึงวันสุดท้าย คือวันที่พระเยซูทรงเสด็จมาพิพากษาโลก เมื่อถึงวันนั้นก็หมดโอกาสที่จะแก้ตัวหรือกลับใจใหม่แล้ว เพราะทุกสิ่งถูกบันทึกไว้ในสมุดประจำชีวิตของทุกคน และจะถูกเปิดเผยออกมา ยิ่งทุกวันนี้เทคโนโลยีก้าวหน้ามาก มันเจริญจนเรามักจะได้ข่าวเรื่องเกี่ยวกับภาพที่เจ้าตัวไม่พึงประสงค์ที่จะเปิดเผยในที่สาธารณะชน แต่เมื่อมีมือดีเอามาเผยแพร่ เจ้าของภาพปฏิเสธไม่ได้ ยังรู้สึกอายและแย่มากๆ หากวันนั้นมาถึงซึ่งเรายังไม่จัดการกับภาพต่างๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมบาปของเราที่เราเก็บไว้ในตู้เซฟสีดำอย่างดีของเราที่อยู่ภายในชีวิต และคิดว่าจะไม่มีใครล่วงรู้ได้ เพราะเราปิดอย่างแนบเนียน แต่วันนั้นพระเจ้าจะทรงเปิดเผยออกมา ภาพ แสง สี เสียง ตัวจริง เหตุการณ์จริงออกมาต่อหน้าคนทั้งโลก เราจะรู้สึกอย่างไร ในพระธรรมวิวรณ์ ๒๐:๑๒ “ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายแล้ว ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้น และหนังสือต่างๆก็เปิดออก หนังสืออีกเล่มหนึ่งก็เปิดออกด้วย คือหนังสือชีวิต และผู้ที่ตายไปแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น และตามที่เขาได้กระทำ” เราควรตัดสินใจที่จะเชื่อฟัง กลับใจใหม่ และดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า นั่นแหละคือการกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์มากที่สุดในชีวิตคริสเตียนมากกว่าผลงานรับใช้อีก นั่นก็คือชีวิตต้องมาก่อนผลงานเพราะในพระธรรมมัทธิว ๗:๒๑ “มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” ชีวิตต้องนำหน้าผลงาน
(๓.๒) ผลของชีวิต (เกิดผลกับมนุษย์ไหม ?) เมื่อชีวิตคริสเตียนเราโตขึ้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกจากตัวเอง คือจากการที่ตนเองเป็นศูนย์กลาง ก็เปลี่ยนให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลางแทนในการดำเนินชีวิต เพื่อเราจะไม่ทำเพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียวแต่เพื่อผู้อื่นด้วย ไม่เพียงแต่เราจะถูกตรวจสอบในเรื่องบาปของเราเท่านั้น เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงเรียกเราให้มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าเท่านั้นแต่ให้เรามีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นด้วย มีชีวิตที่มีผลกระทบในทางที่ดีต่อผู้อื่น เราจะต้องถูกตรวจสอบในผลของชีวิตต่อผู้ที่อยู่รอบตัวเรา ในพระธรรมมัทธิว ๒๕:๔๑-๔๓ “พระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า‘ท่านทั้งหลายผู้ต้องแช่งสาปจงถอยไปจากเรา เข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและสมุนของมันนั้น เพราะว่าเมื่อเราหิวท่านก็มิได้ให้เรากิน เรากระหายน้ำท่านก็มิได้ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บป่วยและต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านไม่ได้เยี่ยมเรา ” การกระทำคุณกับเพื่อนมนุษย์ก็คือมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่โอบอ้อมอารี จึงเป็นสิ่งสำคัญเพราะพระเยซูทรงตรัสไว้ว่า “เราประสงค์ความเมตตา ไม่ใช่เครื่องสัตวบูชา” และในพระธรรม ๑ยอห์น ๓:๑๗-๑๘ “แต่ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแล้วยังใจจืดใจดำไม่สงเคราะห์เขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในผู้นั้นอย่างไรได้ ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง” อย่ารักกันเพียงแค่คำพูดเท่านั้น คือมีแต่คำอวยพรที่ไพเราะดูดี เช่น ขอให้ไปเป็นสุขเถิด ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรและจะอธิษฐานเผื่อ ในพระธรรมยากอบ ๒:๑๕-๑๖ “ถ้าพี่น้องชายหญิงคนใดขัดสนเครื่องนุ่งห่มและอาหารประจำวัน และมีคนใดในพวกท่านกล่าวแก่เขาว่า “เชิญไปเป็นสุขเถิด ขอให้อบอุ่นและอิ่มเถิด” และไม่ได้ให้สิ่งที่เขาขัดสนนั้น จะเป็นประโยชน์อะไร” คนของพระเจ้าจะต้องเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา เพราะพระคัมภีร์ไม่ได้สอนให้เรารักพระเจ้าเท่านั้น เพราะผลของการรักพระเจ้านั้นจะส่งออกไปถึงการที่เรารักพี่น้องและเพื่อนบ้านของเราด้วย ดังตัวอย่างมากมายในพระวจนะที่ได้บันทึกไว้ซึ่งเขาเป็นคนมีเมตตาและพระเจ้าก็ทรงมีพระเมตตาต่อเขาด้วย ในพระธรรมมัทธิว ๕:๗ “บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ” ผลของทานเป็นส่วนหนึ่งที่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานเช่นหญิงคนหนึ่งชื่อ “โดรคัส” ในพระธรรมกิจการ ๙:๓๖–๔๑ “ในเมืองยัฟฟามีหญิงคนหนึ่งเป็นศิษย์ ชื่อทาบิธา ตามภาษากรีกว่าโดรคัสแปลว่าเนื้อสมัน หญิงคนนี้เคยกระทำการอันเป็นคุณประโยชน์และให้ทานมามากแล้ว ระหว่างนั้นหญิงคนนี้ก็ป่วยลงจนถึงแก่ความตาย เขาจึงอาบน้ำศพวางไว้ในห้องชั้นบน เมืองลิดดาอยู่ใกล้กับเมืองยัฟฟา พวกสาวกได้ยินว่าเปโตรอยู่ที่นั่น จึงใช้คนสองคนไปเชิญชวนว่า “เชิญมาหาโดยเร็ว” ฝ่ายเปโตรจึงลุกขึ้นไปกับเขา เมื่อถึงแล้วเขาพาท่านขึ้นไปในห้องชั้นบน และบรรดาหญิงม่ายได้ยืนอยู่กับท่านพากันร้องไห้ และชี้ให้ท่านดูเสื้อผ้าต่างๆ ซึ่งโดรคัสทำเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ฝ่ายเปโตรให้คนทั้งปวงออกไปข้างนอก และได้คุกเข่าลงอธิษฐาน แล้วหันมายังศพนั้นกล่าวว่า “ทาบิธาเอ๋ย จงลุกขึ้น” ทาบิธาก็ลืมตา เมื่อเห็นเปโตรจึงลุกขึ้นนั่ง ฝ่ายเปโตรยื่นมือออกพยุงเธอขึ้น จึงเรียกวิสุทธิชนทั้งหลาย กับพวกแม่ม่ายเข้ามา แล้วมอบหญิงที่เป็นขึ้นนั้นให้กับเขาทั้งหลาย ” เธอเป็นคนที่ทำคุณประโยชน์ให้ทานมากมาย แต่เมื่อเธอเสียชีวิตคนก็ไม่อยากให้เธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับเขาจึงขอให้ท่านเปโตรอธิษฐานช่วยให้เธอฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง และอีกคนหนึ่งชื่อ “บารนาบัส” ในพระธรรมกิจการ ๔:๓๖-๓๗ “เป็นต้นว่าโยเซฟ ที่อัครทูตเรียกว่า บารนาบัส แปลว่าลูกแห่งการหนุนน้ำใจ เป็นพวกเลวีชาวเกาะไซปรัส มีที่ดินก็ขายเสียและนำเงินค่าที่นั้นมาวางไว้ที่เท้าของอัครทูต” เขาได้ขายที่ดินของตนและนำเงินมาให้สาวก เพื่อช่วยเหลือคนขัดสน และในพระวจนะของพระเจ้าที่ทรงสอนเกี่ยวกับการช่วยเหลือคนอื่นไว้ในพระธรรมสุภาษิต ๓:๒๗-๒๘ “อย่ายึดความดีไว้จากผู้ที่สมควรจะได้รับ ในเมื่อสิ่งนี้อยู่ในอำนาจของเจ้าที่จะกระทำได้ อย่าพูดกับเพื่อนบ้านของเจ้าว่า ‘ไปเถอะ แล้วกลับมาอีก พรุ่งนี้ฉันจะให้’ ในเมื่อเจ้ามีให้อยู่แล้ว” และในพระธรรมสุภาษิต ๑๑:๒๔-๒๕ “บางคนยิ่งจำหน่ายยิ่งมั่งคั่ง บางคนยิ่งยึดสิ่งที่ควรจำหน่ายไว้ยิ่งขัดสนก็มี บุคคลที่ใจกว้างขวางย่อมได้รับความมั่งคั่ง บุคคลที่รดน้ำ เขาเองจะรับการรดน้ำ” ในพระธรรมสุภาษิต ๑๙:๑๗ “บุคคลที่เอ็นดูคนยากจนก็ให้พระเจ้าทรงยืม และพระองค์จะทรงตอบแทนแก่การกระทำของเขา” นี่คือพระวจนะของพระเจ้าที่ทรงสอนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตคริสเตียนในโลกที่ควรรู้จัก การให้กับคนที่ขัดสน มีใจเมตตาปราณีและก็เป็นผลของพระวิญญาณด้วย
พระเจ้าจะทรงพิพากษาทุกคนในการดำเนินชีวิต ว่าเขามีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์หรือไม่ มีความรักที่แสดงออกเป็นการกระทำ และรับรู้ทุกข์สุขของคนรอบข้างและได้เหยียดมือของเขาออกไปหยิบยื่นให้กับคนเหล่านั้น ในพระธรรมมัทธิว๒๕:๔๕-๔๖ “เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสกับเขาว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านมิได้กระทำแก่ผู้ต่ำต้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ ก็เหมือนท่านมิได้กระทำแก่เราด้วย’ และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์” แน่นอนการให้ต้องใช้สติปัญญา ถ้าหากเป็นความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ก็คงไม่ต้องตั้งข้อแม้มากมาย และคิดเป็นรายละเอียดเกินไป ลักษณะที่เด่นชัดของชีวิตคริสเตียนควรเป็นการให้ การแจกจ่ายออกไป ไม่ใจจืดใจดำ ไม่สักแต่รับพระคุณของพระเจ้าหรือรับความช่วยเหลือฝ่ายเดียว แต่เปิดตามองหาคนรอบข้างที่ขัดสนซึ่งไม่ใช่เงินอย่างเดียว แต่มีอะไรมากมายที่จะให้ได้ เป็นสิ่งของหรือกำลังความสามารถ, สติปัญญา, เวลา ฯลฯ
(๓.๓) ความสามารถและของประทาน สิ่งที่พระเจ้าใส่ไว้ในชีวิตของมนุษย์ทุกคนนั่นคือความสามารถและของที่ประทานให้นั้น จะถูกเรียกเอาผลและกำไรคืนทั้งสิ้น ดังที่เราได้ทราบแล้วเกี่ยวกับเรื่องเงินตะลันต์ในพระธรรมมัทธิว ๒๕:๑๔-๓๐ “และยังเปรียบเหมือน ชายผู้หนึ่งจะออกเดินทางไป จึงเรียกพวกทาสของตนมาฝากทรัพย์สมบัติไว้ คนหนึ่งท่านให้ห้าตะลันต์ คนหนึ่งสองตะลันต์ และอีกคนหนึ่งตะลันต์เดียว ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วท่านก็ไป คนที่ได้รับห้าตะลันต์นั้นก็เอาเงินนั้นไปค้าขายทันที ได้กำไรเท่าตัว คนที่ได้รับสองตะลันต์นั้นก็ได้กำไรเท่าตัวเหมือนกัน แต่คนที่ได้รับตะลันต์เดียวได้ขุดหลุมซ่อนเงินของนายไว้ ครั้นอยู่มาช้านานนายจึงมาคิดบัญชีกับทาสเหล่านั้น คนที่ได้รับห้าตะลันต์ก็เอาเงินกำไรอีกห้าตะลันต์มาชี้แจงว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินห้าตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์’ นายจึง ตอบว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด’ คนที่ได้รับสองตะลันต์มาชี้แจงด้วยว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินสองตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกสองตะลันต์’ นายจึงตอบว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด’ ฝ่ายคนที่ได้รับตะลันต์เดียวมาชี้แจงด้วยว่า ‘นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าท่านเป็นคนใจแข็ง เกี่ยวผลที่ท่านมิได้หว่าน เก็บส่ำสมที่ท่านมิได้โปรย ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินตะลันต์ของท่านไปซ่อนไว้ใต้ดิน ดูเถิด นี่แหละเงินของท่าน’ นายจึงตอบว่า ‘อ้ายข้าชั่วช้าและเกียจคร้าน เจ้าก็รู้หรือว่าเราเกี่ยวที่เรามิได้หว่าน เก็บส่ำสมที่เรามิได้โปรย เหตุฉะนั้นเจ้าควรเอาเงินของเราไปฝากไว้ที่ธนาคาร เมื่อเรามาจะได้รับเงินของเราทั้งดอกเบี้ยด้วย เพราะฉะนั้น จงเอาเงินตะลันต์เดียวนั้นจากเขาไปให้คนที่มีสิบตะลันต์ ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้วจะเพิ่มเติมให้ผู้นั้นจนมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่ไม่มี แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่ก็จะต้องเอาไปจากเขา เอาอ้ายข้าชาติชั่วช้าไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’”การพิพากษาเกี่ยวกับความสามารถและของประทาน จะมีประโยชน์อะไรถ้าเราเป็นคนที่เก่งมีความสามารถในโลกนี้ แต่ความสามารถนั้นไม่ได้ถูกนำไปใช้ในงานของพระเจ้า เราอาจจะประสบความสำเร็จในโลกมากมายเป็นคนมีชื่อเสียง มีตำแหน่งหน้าที่การงานดี แต่สิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้มีผลต่อแผ่นดินของพระเจ้า หรือเราอาจจะเป็นคนที่ร่ำรวยในโลก แต่ความร่ำรวยนั้นก็ไม่ได้ถูกใช้ไปในงานของพระเจ้า เราอาจจะเป็นคนที่ฉลาดมีปัญญารอบรู้และหลักแหลม มันจะมีประโยชน์อะไรที่ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในทางของพระเจ้า หรือถวายเกียรติแด่พระองค์ คนนั้นก็เป็นเพียงคนที่โง่คนหนึ่งในสายพระเนตรของพระเจ้า เราอาจจะมีทุกสิ่งในโลกแต่เป็นคนที่น่าสมเพชมาก หากไม่รู้จักที่จะสะสมสิ่งนั้นไว้ในแผ่นดินสวรรค์ซึ่งเป็นที่นิรันดร์ เพราะเขาจะได้เสพสุขชั่วครู่หนึ่งในโลกนี้เท่านั้นคือไม่กี่ปี แต่หากเรียนรู้ที่จะสะสมไว้ในแผ่นดินสวรรค์ เขาจะมีและครอบครองสิ่งนั้นชั่วนิจนิรันดร์ คนที่ได้รับจากพระเจ้าไว้มากก็จะถูกเรียกเอามากตามที่มอบให้ คนที่ครอบครองมากก็จะถูกเรียกเอามากเช่นกัน พระเจ้าจะไม่เรียกเอาจากที่เราไม่มี พระองค์ได้ประทานของประทานมากมายให้แก่คริสเตียนทุกคนในการรับใช้ และในวันนั้นจะไม่มีใครสักคนเดียวที่ปฏิเสธได้ว่าเขาไม่มีของประทานจึงไม่ได้รับใช้ เพราะคำตอบทั้งสิ้นก็ปรากฏอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าอยู่แล้ว จงรับใช้พระเจ้าด้วยการทำตัวให้คริสตจักรจำเริญขึ้น แล้วของประทานจะตามมา และใช้ของประทานให้เกิดผลเพื่ออาณาจักรของพระเจ้า
เราพร้อมหรือยังที่จะให้พระเจ้าเข้ามาตรวจสอบทุกด้านในชีวิตของเรา และพร้อมที่จะเดินไปพบกับพระเจ้าหรือไม่ พร้อมที่จะยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ในวันพิพากษาไหม ทุกวันนี้พระเจ้าถือพลั่วและกำลังชำระลานข้าว(คริสตจักร) ของพระองค์ จะแยกเอาข้าวออกจากฟางและแกลบ ซึ่งหมายถึงสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์หรือเป็นอุปสรรคในชีวิตนั่นคือบาปออกไปจากชีวิตเรา การพิพากษากำลังจะมาแล้ว รีบลุกขึ้นจัดการกับชีวิตของตนเถิด ก่อนที่พระเจ้าจะมาจัดการ เราจะถูกเรียกเอาจากความสามารถที่มีอยู่ เพราะเราได้เรียนรู้แล้วว่าในชีวิตของคนๆ หนึ่งนั้นมีความสามารถมากกว่า ๕๐๐ อย่าง ไม่มีใครหรอกที่ทำอะไรไม่เป็นเลย และก็ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วทำเป็นทุกอย่าง ทุกอย่างต้องมีการเรียนรู้และฝึกฝนทั้งสิ้น พวกที่บอกว่าทำอะไรไม่เป็นหรือไม่เก่ง ไม่มีความสามารถ คนประเภทนี้เรียกว่า “คนเกียจคร้าน” คำพูดนั้นเป็นเพียงการแก้ตัว ไม่มีอะไรที่คนอื่นทำได้แล้วเราจะทำไม่ได้ เพราะหากคนที่มีอวัยวะครบทุกอย่างเหมือนกัน บางคนที่ไม่สมประกอบยังทำอะไรได้ดีและมากกว่าคนที่มีอวัยวะครบ เรามีความสามารถอะไรก็ให้นำออกมาใช้ให้เกิดผลในงานของพระเจ้าเถิด เช่น ทำอาหาร การฝีมือ การช่าง เทคโนโลยี ศิลปะ ฯลฯ ส่วนมากพวกที่เก่งจริงๆ จะไม่ค่อยทำ คนที่จะทำจริงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีหัวใจและจริงใจเท่านั้น คนเก่งมักจะคอยวิพากวิจารณ์คนอื่นที่ทำ ระวัง! พระเจ้าจะทรงพิพากษาความสามารถของคนเช่นนี้ด้วย คนที่ทำอะไรเก่งทุกวันนี้เขาก็เริ่มต้นจากไม่เป็นเลยเช่นกัน ลองผิดลองถูกและฝึกฝนกันทั้งนั้น ส่วนตรงกันข้ามคนที่ไม่ยอมทำแล้วอ้างว่าไม่มีของประทาน หรือทำอะไรไม่เป็นเขาจะไม่มีโอกาสรับใช้พระเจ้าเลยตลอดชีวิตของเขา พระเจ้าจะเรียกเอาจากทุกคนอย่างแน่นอนในวันพิพากษา พร้อมหรือยังที่จะเผชิญหน้ากับพระเจ้า ถ้ายังไม่พร้อม จงอธิษฐานขอให้เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิต ที่จะหันกลับมาทำตามพระทัยพระเจ้า ทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้ทำ ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อเมื่อวันสุดท้ายชีวิตมาถึงเราจะพร้อมที่จะไปพบกับพระเจ้า หรือเมื่อพระเยซูจะเสด็จมาครั้งที่สองและพบเราในภาพที่พร้อมแล้วคือเป็นบ่าวที่ได้ทำตามคำสั่งนายแล้ว มัทธิว ๒๔.๔๕ – ๕๑ “ ใครเป็นทาสสัตย์ซื่อและฉลาด ที่นายได้ตั้งไว้เหนือพวกบ่าวทาสสำหรับแจกอาหารตามเวลา 46เมื่อนายมาพบเขากระทำอยู่อย่างนั้น ทาสผู้นั้นก็จะเป็นสุข 47เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลบรรดาข้าวของของท่าน 48แต่ถ้าทาสนั้นชั่วและคิดในใจว่า ‘นายของข้ามาช้า’49แล้วจะตั้งต้นโบยตีเพื่อนทาสและกินดื่มอยู่กับเพื่อนขี้เมา 50นายของทาสผู้นั้น จะมาในวันที่เขาไม่คิดในโมงที่เขาไม่รู้ 51และจะทำโทษเขาถึงสาหัส ทั้งจะขับไล่ให้เขาไปอยู่ในที่ของพวกคนหน้าซื่อใจคด ซึ่งที่นั่นจะมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ”