เย็นวันหนึ่งซึ่งเป็นวันสุดสัปดาห์ เรามีการประชุมหนุ่มสาวที่บ้านพักที่ได้เปิดเป็นเหมือนศูนย์กลางการประกาศเพราะเราเพิ่งเริ่มงานเปิดคริสตจักรในระแวกนั้น หลังจากเสร็จประชุมประมาณ 3 ทุ่มกว่า เพื่อนร่วมงานที่เป็นมิชชันนารี (เราพักอยู่ด้วยกันห้าคน เป็นมิชชันนารี 3 คน คนไทย 2 คน รวมกับดิฉันทั้งหมดเป็นผู้หญิง) คนที่หนึ่งก็ขับรถไปส่งอนุชนที่มาร่วมประชุมกลับบ้าน ครู่ใหญ่เขาก็กลับมา เผอิญดิฉันก็ยังไม่ได้ขึ้นข้างบน เขาเดินเข้าประตูมาพร้อมกับบอกว่า ลูกหมา ข้าพเจ้าถามว่า “ที่ไหน” ออกจะแปลกใจ เพราะไม่ปรากฎว่ามีหมาแม่ลูกอ่อนอยู่แถวใกล้บ้านเราเลย เขาบอกว่า “อยู่หน้าบ้าน” ดิฉันไม่รีรอรีบเปิดประตูออกไปดูโดยมีเพื่อนมิชชันนารีคนที่สองและอนุชนที่พักด้วยตามออกไป เราก็พบลูกหมาสีดำนอนอยู่โดยไม่กระดุกกระดิก แม้เดินเข้าไปใกล้และเรียกมัน ดิฉันจึงจับมันขึ้นมาอุ้มก็พบว่าตัวมันเหม็นมาก เมื่อดูตาข้างหนึ่งก็ลืมไม่ได้ มีขี้ตาแห้งกรังและแฉะเต็มอยู่ พลิกดูหูอีกข้างก็มีแผลที่ถูกหมาตัวใหญ่กัด จับดูหัวของมันก็ปูดบวม พอลูบดูลำตัวของมันก็ผอมมาก เจอแต่กระดูกซี่โครง มันคงไม่ได้กินอาหารมาหลายวันแล้ว ดูซิตัวมันเล็กนิดเดียว ทำไมมันออกมาผจญภัยเช่นนี้ เพื่อนมิชชันนารีคนที่สองบอกว่า “สงสัยมันหลงมาแน่” พูดเสร็จเขาก็ไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน
ดิฉันพินิจดูลูกหมามันน่ารักมากแม้จะอยู่ในสภาพเช่นนี้ คงไม่มีใครเอามันมาปล่อยไว้เป็นแน่ ดิฉันขออนุญาตเพื่อนมิชชันนารีคนที่หนึ่งขอเอาลูกหมาไปพยาบาลข้างใน เพราะถ้าปล่อยมันนอนนอกบ้าน มันคงไม่พ้นคืนนี้ เขาก็ตอบว่า “เพื่อนมิชชันนารีคนที่สามคงจะไม่ยอมให้เราเลี้ยง” ดิฉันก็บอกเขาว่า “เราจะไม่เลี้ยงแต่จะรักษาให้มันหายแล้ว ถ้าหาเจ้าของเจอเราจะคืนเขาไป และถ้าไม่เจอเราก็จะให้คนอื่น” เขาเลยยอม แต่ก็ยังเกรงใจเพื่อนมิชชันนารีคนที่สาม ไม่แน่ใจว่าเขาจะยอมหรือไม่ ดิฉันบอกเขาว่า “ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที แต่คืนนี้ต้องช่วยมันก่อน” ตกลงเราเลยนำมันเข้ามาในบ้าน เอาน้ำอุ่นมาเช็ดตา เช็ดแผลและเอายาใส่ให้เรียบร้อยแล้วจึงชงนมมาให้มัน มันเลียนมนิดเดียวก็นอนพับไป เพราะมันคงเพลียมากและเจ็บระบมไปทั้งตัว ดูที่แผลก็เริ่มอักเสบด้วย เราต้องปลุกและเอานมกรอกปากให้มันเพื่อที่มันจะมีแรงและฟื้นตัวเร็ว
ประมาณหนึ่งชั่วโมงผ่านไป เพื่อนมิชชันนารีคนที่สามซึ่งเข้าไปนอนแล้วก็ลุกขึ้นมาดู เขาบอกว่านอนไม่หลับเนื่องจากไฟหน้าบ้านซึ่งตรงกับห้องนอนของเขายังเปิดอยู่ เขาถามว่า มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อนมิชชันนารีคนที่หนึ่งที่ช่วยกันพยาบาลอธิบายเป็นภาษาอังกฤษให้เขาทราบ ภายหลังรับทราบแล้วดูเขาไม่ค่อยจะพอใจเท่าไรนักโดยให้เหตุผลว่า มันอาจจะมีแมลงหรือหมัดติดมาและอาจจะมีเชื้อพิษสุนัขบ้าได้ ว่าแล้วเขาก็ขึ้นไปนอน เพื่อนมิชชันนารีคนที่หนึ่งบอกเราว่า “เขาคงไม่ยอมให้ลูกหมาอยู่ในบ้านแน่” ดิฉันบอกกับเขาว่า “เอาไว้ชั้นล่างไม่เห็นเป็นไร คืนต่อไปค่อยว่ากัน แต่คืนนี้เราต้องแก้ไขสถานการณ์ก่อน” เราจึงปรึกษากันว่าจะให้มันนอนที่ไหนดี ถ้าให้มันนอนนอกบ้าน อากาศกลางคืนเย็นเพราะเป็นช่วงฤดูฝน อนุชนที่พักด้วยกันก็บอกว่า “หมาข้างนอกอาจจะกัดมัน” เพื่อนมิชชันนารีคนที่หนึ่งก็บอกว่า “แม้แต่หนูก็จะกัดมันตายได้เพราะมันไม่มีแรงสู้ หรือแมวก็อาจกัดได้ เนื่องจากสภาพของมันตอนนี้ตัวเล็กกว่าลูกแมวเสียอีก”
สุดท้ายเราจึงสรุปกันได้ว่า ให้มันนอนนอกบ้าน แต่ยังอยู่ในเขตบริเวณรั้วบ้าน โดยหาเข่งให้มันนอนและรองด้วยหนังสือพิมพ์ ดิฉันก็รีบลุกขึ้นไปเพื่อหาเข่งโดยมีเสียงมิชชันนารีคนที่หนึ่งพูดตามหลังว่า “มันอาจตายคืนนี้ก็ได้” ดิฉันตอบทันทีว่า จะอธิษฐานขอพระเจ้าเพื่อช่วยไม่ให้มันตาย อนุชนที่พักด้วยหัวเราะ ดิฉันจึงหันไปพูดกับเขาว่า “อย่าหัวเราะ พระเจ้าทำได้นะ” ขณะที่พูดดิฉันก็คิดในใจว่า ดิฉันคงจะรู้สึกเสียใจถ้ามันตาย เพราะดิฉันเป็นคนที่รักลูกหมามาแต่ไหนแต่ไร และแล้วก็พบเข่ง จึงนำมา ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดถึงว่า จะให้มันนอนอย่างไร ขณะที่ครุ่นคิดอยู่ ก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซด์เพื่อนบ้านซึ่งอยู่ตรงกันข้ามเข้ามาจอดที่บ้านของเขา เวลานี้ก็เกือบจะห้าทุ่มแล้ว ดิฉันจึงรีบวิ่งไปเรียกและถามเขาว่า บ้านเขาเลี้ยงลูกหมาหรือเปล่า เขาตอบว่า “เลี้ยง” แต่มันหายไปหลายวันแล้ว ดิฉันจึงนำลูกหมาไปให้เขาดูว่าใช่ของเขาหรือเปล่า เมื่อดูแล้วตอบทันทีว่า “ใช่แล้ว” ดิฉันรู้สึกโล่งใจไปทีที่พบเจ้าของแล้ว เมื่อคืนลูกหมาเขาไปแล้ว เราต่างก็แยกย้ายกันไปเพื่อเตรียมตัวเข้านอน
ขณะที่เตรียมตัวอาบน้ำนั้นดิฉันก็คิดถึงเรื่องนี้ว่านี่ขนาดแค่ลูกหมาตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น เรายังรู้สึกห่วงใยและเอาใจใส่เพียงนี้ จะเป็นอย่างไร ถ้าคนๆ หนึ่งหลงหายไปจากพระเจ้า หรือคนที่เขาไม่รู้จักกับพระเจ้า ตามพระคัมภีร์ที่ได้กล่าวไว้ว่า “ เราทุกคนได้เจิ่นไปเหมือนแกะ เราทุกคนต่างได้หันไปตามทางของตนเอง….” อสย. 53:6 เขาอยู่ในสภาพที่ซมซาน ทรมาน บาดเจ็บทั้งกายและใจ เพราะถูกทำร้าย บางคนมองไม่เห็นบาดแผลภายนอก แต่ภายในใจของเขาอาจจะบอบช้ำ ระบม ปัจจุบันคนที่ได้รับบาดเจ็บทางด้านจิตใจนั้นมีมาก ( แม้แต่ภายในคริสตจักร) เขากำลังแสวงหาที่พึ่ง ซึ่งอยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ คนในสังคมก็ได้ปฏิเสธและเมินหน้าหนีไปจากเขา ใครล่ะจะเป็นคำตอบสำหรับเขา ถ้าคริสตจักรของพระเจ้ายังเกี่ยงงอนกันอยู่ หรือมัวแต่ทะเลากัน เห็นแก่ตัว เห็นแต่สวัสดิภาพและความปลอดภัยของตนเองและกลุ่มของตนดังเช่นกลุ่มพวกเราในการที่ช่วยลูกหมาตัวนี้ เช่นมิชชันนารีคนที่สองเมื่อเขามาดูและก็ไปอาบน้ำนอนซึ่งอาจจะคิดว่าธุระไม่ใช่ หรือคนที่สามซึ่งห่วงสวัสดิภาพของตนเอง ห่วงเรื่องหมัด แมลง หรือเชื้อโรค และคนที่เหนื่อยยอมช่วยเต็มที่แต่ไม่กล้าตัดสินใจเพราะเกรงใจคนที่สาม
สำหรับดิฉันและอนุชนพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือเต็มที่ แต่ไม่มีสิทธิอำนาจในการตัดสินใจ มีคริสตจักรเป็นจำนวนมากที่เป็นเหมือนกลุ่มของดิฉัน งานช่วยคนที่หลงหาย คนที่มีปัญหา งานสงเคราะห์คน เป็นงานที่มีข้อขัดแย้งมากมายจนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ตัดสินใจลงมือทำ โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ การประกาศ การช่วยเหลือคนที่มีปัญหา ความทุกข์ ความเจ็บป่วย หรือคนที่หลงหายไปจากพระเจ้า ควรเป็นหัวใจของคริสตจักรไม่ใช่หรือ ท่านได้ใช้สิ่งที่พระเจ้าให้นั้นอย่างถูกต้องหรือไม่ บางทีก็กลัวว่าคนเหล่านั้นจะเป็นปัญหาในคริสตจักรหรือกลัวนำโรคมาติดต่อดังเช่น โรคเอดส์ในปัจจุบัน ถ้าคริสตจักรของพระเจ้าไม่ได้เปิดประตูต้อนรับคนเหล่านี้แล้ว ก็ไม่ทราบว่าท่านได้เจริญรอยตามพระบาทพระเยซูหรือไม่ เพราะพระองค์ได้ทำแบบอย่างไว้แล้ว และนี่คือพระราชกิจของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงถือว่าคนเหล่านั้นเป็นดังเช่นคนเจ็บที่ต้องการหมอ ในพระวจนะของพระเจ้าก็ยังโจมตีผู้รับใช้พระเจ้าที่ละเลยต่อหน้าที่เช่นนี้ “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงพยากรณ์กล่าวโทษบรรดาผู้เลี้ยงแกะแห่งอิสราเอล จงพยากรณ์กล่าวโทษว่าแก่เขา คือ ผู้เลี้ยงแกะว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า วิบัติแก่ผู้เลี้ยงแกะแห่งอิสราเอลผู้เลี้ยงตัวเอง ผู้เลี้ยงแกะมิใช่หรือเจ้ารับประทานไขมัน เจ้าคลุมกายของเจ้าด้วยขนแกะ เจ้าฆ่าแกะตัวอ้วนๆ เจ้าหาได้เลี้ยงแกะไม่ ตัวที่อ่อนเพลียเจ้าก็ไม่ได้เสริมกำลัง ตัวที่เจ็บเจ้าก็ไม่รักษา ตัวที่กระดูกหักเจ้าก็มิได้พันผ้า ตัวที่หลงไปเจ้าก็มิได้ไปตามกลับมา ตัวที่หายไป เจ้าก็มิได้เสาะหา และเจ้าได้ปกครองเขาด้วยการบังคับ และด้วยการข่มขี่เบียดเบียน” อสค. 34:2-4
พอรุ่งเช้าสิ่งแรกที่ดิฉันทำก็คือ ไปถามอาการของลูกหมาตัวนั้นกับเพื่อนบ้านว่าเป็นอย่างไร คำตอบก็คือมันยังมีชีวิตอยู่ ภายหลังจากนั้น ดิฉันต้องไปต่างจังหวัด 2 สัปดาห์ และเมื่อกลับมาก็ไปถามถึงอาการของมันอีก จึงทราบว่ามันดีขึ้นเยอะ ตาของมันก็ไม่บอด และเริ่มกินข้าวได้มากขึ้น ดิฉันรู้สึกดีใจที่มันรอดชีวิตและปลอดภัยแล้ว
ดิฉันมาใคร่ครวญอีกว่าจริงสินะ การช่วยคนแต่ละคนที่มีปัญหา เราต้องช่วยเขาจนกว่าเขาจะสามารถช่วยตนเองได้ ช่วยจนชีวิตของเขาพ้นขีดอันตราย ช่วยอย่างต่อเนื่อง จนแน่ใจว่าเขาปลอดภัยและพร้อมที่จะเผชิญชีวิตต่อไปได้ดังคำสอนขององค์พระเยซูคริสต์ที่ว่า “สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้จัดสั่งพวกเจ้าไว้”………. มัทธิว 28:20 และ “จงดูแลแกะของเราเถิด” ยน.21:16