มีนิทานเรื่องหนึ่งที่เล่าขานสืบกันมานาน เป็นเรื่องของชายตาบอด 6 คน ไปพบช้างตัวหนึ่ง ชายตาบอดคนแรกยื่นมือไปคลำสีข้างของช้าง และพูดว่า “ช้างมีลักษณะเหมือนกำแพง”  ชายตาบอดคนที่สองยื่นมือไปคลำถูกงวงช้าง และกล่าวว่า “ช้างมีลักษณะเหมือนงู” แล้วชายตาบอดคนที่สามก็ยื่นมือไปจับถูกงา และกล่าวว่า “ช้างมีลักษณะเหมือนหอก”  ชายตาบอดคนที่สี่คลำถูกขาช้างและกล่าวว่า “ช้างมีลักษณะเหมือนต้นไม้”  ชายตาบอดคนที่ห้าจับโดนใบหูของช้างและกล่าวว่า “ช้างมีลักษณะเหมือนพัด” ชายตาบอดคนที่หกจับโดนหางช้างและกล่าวว่า “ช้างมีลักษณะเหมือนเชือก” พวกเขาตกลงกันไม่ได้ว่าช้างมีลักษณะเช่นไรกันแน่  เนื่องจากพวกเขาต่างได้สัมผัสเพียงส่วนหนึ่งส่วนเดียวของช้างเท่านั้น

ในเรื่องจริงที่เกี่ยวกับพระเจ้า เราก็เป็นเหมือนคนตาบอดเหล่านั้นที่พบพระเจ้า และพยายามที่จะรู้จักกับพระเจ้า อยากรู้จักพระลักษณะของพระองค์ พยายามที่จะรู้จักพระเจ้าจากความคิดแบบมนุษย์ที่มีความจำกัดว่า “พระเจ้ามีพระลักษณะอย่างไร?”  อย่ารู้จักพระเจ้าด้วยความรู้สึกนึกคิดของตัวคุณเอง เพราะจะทำให้พลาดไป   มีแหล่งเดียวที่เราจะเข้าไปค้นหาและรู้จักกับพระเจ้าได้คือ  ค้นหาจากพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดเผยถึงพระองค์เอง ที่ได้รับการดลใจให้บันทึกอยู่ใน “พระคริสตธรรมคัมภีร์” หรือที่เราเรียกสั้นๆว่า “พระคัมภีร์” นั่นเอง พระเจ้าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่นักเหลือที่เราจะหยั่งรู้ได้ดังที่ดาวิดได้กล่าวใน สดุดี 145:3 “…พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่  และสมควรจะสรรเสริญอย่างยิ่ง   ความใหญ่ยิ่งของพระองค์นั้นเหลือจะหยั่งรู้…”   แต่พระองค์เองได้ทรงเปิดเผยพระองค์เองให้เรารู้ผ่านพระคำของพระองค์ ทำให้เราสามารถเข้าใจพระลักษณะต่างๆของพระองค์ได้อย่างสมบูรณ์ และเพื่อเราจะสามารถรับความบริบูรณ์ทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา

พระธรรมเยเรมีย์ 29:11-14 “พระเจ้าตรัสว่า   เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า   เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ  ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ   เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า  แล้วเจ้าจะทูลขอต่อเรา  และมาอธิษฐานต่อเรา   และเราจะฟังเจ้า  เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วย สิ้นสุดใจของเจ้า  พระเจ้าตรัสว่า   เราจะให้เจ้าพบเรา   และเราจะให้เจ้ากลับสู่สภาพดี…”

ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกท่านที่แสวงหาพระองค์ด้วยสุดใจ อาเมน