ใน 1ซามูเอล 2 เราพบเรื่องของเอลี ผู้นำที่นำอิสราเอลมาสี่สิบปี โดยพื้นฐานแล้วเขาเป็นคนดี ไม่ล่วงประเวณีหรือลักขโมยจากเงินถวาย เรารู้จากพระคัมภีร์ว่า เขาเป็นคนรักสงบ อย่างไรก็ตาม เขาจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า

เอลีเป็นคนดีที่ล้มเหลว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ใน 1ซามูเอล 2 เรายังได้เรียนถึงบันทึกเรื่องราวของลูกชายที่ชั่วร้ายของเอลี ผู้ไม่เคารพนับถือพระเจ้า

22ฝ่ายเอลีชรามากแล้ว   และท่านได้ยินถึงเรื่องราวทั้งสิ้น   ที่บุตรทั้งสองของท่านกระทำแก่คนอิสราเอล   เช่นว่าเขาเข้าหาหญิงที่ปรนนิบัติอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบด้วย 23และท่านก็ว่ากล่าวเขาทั้งสองว่า   “ทำไมเจ้าจึงกระทำเช่นนั้น   เพราะเราได้ยินจากประชาชน ทั้งปวงถึงความชั่วซึ่งเจ้ากระทำ 24ลูกเราเอ๋ย   อย่าทำเลยเราได้ยินประชากรของพระเจ้า เล่าแพร่ทั่วไปเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย 25ถ้ามนุษย์คนใดกระทำผิดต่อมนุษย์ด้วยกัน   พระเจ้าจะทรงวินิจฉัยให้เขา   แต่ถ้ามนุษย์กระทำบาปต่อพระเจ้า   ใครจะทูลขอเพื่อเขาได้เล่า”   แต่เขาทั้งสองหาได้ฟังเสียงบิดาของเขาไม่” (1ซามูเอล 2:22-25)

เมื่อเอลีรับรู้ถึงการกระทำอันชั่วร้ายของลูกชาย(ทั้งสองทำงานรับใช้พระเจ้าในตำแหน่งปุโรหิต) เขาเพียงแต่แค่ตักเตือนลูกแบบขอไปทีเท่านั้น (และเขายอมให้ลูกชายยังคงอยู่ในงานรับใช้) แม้ว่าเอลีมีความตั้งใจดี เขาอ่อนแอในเรื่องการจัดการกับความบาปของคนอื่น เขาได้รับสิทธิอำนาจในการทรงเรียกให้นำชาวอิสราเอล แม้ปรากฏว่า เขาได้อยู่ในตำแหน่งนั้นจริง หากแต่เพราะการที่เอลียอมอดทนต่อบาป กลับนำความล่มสลายมาสู่เขาเอง

บทเรียนสำคัญในเรื่องสิทธิอำนาจฝ่ายวิญญาณจากเอลี

1.เราต้องเอาคนที่ทำผิดศีลธรรมออกไปเสียจากงานรับใช้ ขณะที่เรามีอำนาจหน้าที่ที่จะทำได้ แม้คนเหล่านั้นจะเป็นลูกๆของเราก็ตาม ผู้นำฝ่ายวิญญาณไม่ควรจะทนปล่อยให้คนทำผิดศีลธรรมอยู่ในงานรับใช้ แม้ว่าคนเหล่านั้นจะถวายสิบลดก้อนใหญ่ เป็นคนที่มีอิทธิพลในหมู่สมาชิก สูงด้วยวัยวุฒิ หรือเป็นญาติพี่น้องก็ตาม

2.เพราะการไม่เชื่อฟังของเอลี พระเจ้าทรงเปลี่ยนพระทัยและล้มเลิกพระสัญญาที่มีต่อตระกูลของเอลี กลับถูกทดแทนด้วยคำสาปแช่ง

3.การทรงเรียกและของประทานของพระเจ้านั้นเพิกถอนไม่ได้ แต่การไม่เชื่อฟังของเราสามารถทำลายแผนการที่ดีที่สุดได้ จากนั้นพระเจ้าทรงสร้างซามูเอลขึ้นมาเป็นปุโรหิตผู้ซื่อสัตย์ของพระเจ้า

4.ถ้าเราปิดซ่อนความบาปไว้พระสิริของพระเจ้าก็จะไม่อยู่ในที่นั้น

มารซาตานไม่กลัวที่คริสตจักรจะเติบโต มันไม่สนใจว่าคริสตจักรเราจะใหญ่แค่ไหน ตราบใดที่เราไม่เข้าสู่การฟื้นฟูและความบริสุทธิ์ ผู้นำคริสเตียนบางคนขัดขวางการฟื้นฟูที่อยู่แค่เอื้อมไม่ให้เกิดขึ้นโดยการจ่ายภาษีให้แก่มาร ไม่นาน ศิษยาภิบาลเหล่านี้ก็เริ่มสงสัยว่า การเจิมหายไปไหน พวกเขาไม่ตระหนักด้วยซ้ำว่า พระเจ้าได้เขียนคำว่า “อีคาโบด” (หมายถึง พระสิริได้พรากไปแล้ว) ไว้ที่ประตูของพวกเขา

(ข้อคิด จากหนังสือ “12 หลุมพรางบนเส้นทางชีวิต” โดย เซอร์จิโอ สกัตตากลินี)